ยกเลิกมาตรา 370 ภารกิจรัฐบุรุษ(ตอน33)

ซอกซอนตะลอนไป                           (23 มีนาคม 2568)

ยกเลิกมาตรา 370 ภารกิจรัฐบุรุษ(ตอน33)

หลังอินเดียประกาศอิสรภาพ

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

มหาราชาฮารี ซิงห์ แห่งแคชเมียร์ เล่นตัวดึงเกมส์ไม่ตัดสินใจเลือกว่าจะเข้าร่วมกับอินเดีย หรือ ปากีสถาน สักที (ทั้งๆที่ใจของเขาเลือกแล้วที่จะมาเข้าทางอินเดีย)   สร้างความไม่แน่นอนในเรื่องดุลย์อำนาจในพื้นที่นี้อย่างยิ่ง

ในที่สุด   ปากีสถาน ก็ไม่สามารถอดทนกลั้นหายใจรอฟังผลดังกล่าวได้อีกต่อไป  ตัดสินใจเดินหมากตัวสำคัญ  ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบตามมาอีกหลายสิบปี

20 ตุลาคม ปี 1947  หรือหลังการแยกประเทศอินเดียเพียงแค่ 3 เดือนเศษ   ปากีสถานส่งกองกำลังติดอาวุธของชนเผ่าพาชตุน(PASHTUN TRIBE)ซึ่งเป็นกองกำลังนอกเครื่องแบบของปากีสถานจากเมือง วาซิริสตาน(WAZIRISTAN) บุกเข้าไปในอาณาเขตของแคชเมียร์ หมายจะปิดโอกาสที่แคชเมียรจะเข้าร่วมกับอินเดีย  และ  ยึดครองแคชเมียรมาเป็นของตน


(นักรบชาวปาชตุน ขณะเดินทางเข้าแคชเมียร์ในปี 1947 – ภาพจากวิกิพีเดีย)

               ขณะนั้น   มหาราชาเองก็มีปัญหาปวดหัวภายในรัฐของตัวเองอยู่แล้ว  กล่าวคือ  จังหวัดพูนช์ (POONCH)ที่อยู่ภายใต้การปกครองของมหาราชาแห่งแคชมียร์  แต่ที่ตั้งอยู่ใกล้ปากีสถานมาก  เกิดปัญหาประชาชนลุกฮือก่อการกบถตั้งแต่ต้นปี 1947   ด้วยเหตุผลว่า  รัฐบาลของมหาราชาเก็บภาษีสูงมากจนชาวบ้านไม่อาจดำรงชีพได้  และ  การที่มหาราชาละเลยไม่ดูแลแก่ทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อินเดียส่งไปร่วมรบให้กับฝ่ายอังกฤษ  จนมีผู้เสียชีวิต  บาดเจ็บ และ พิการจำนวนมาก  

               แต่เหนือสิ่งอื่นใด   แรงผลักดันทั้งหมดมาจากกลุ่มศาสนานิยมมุสลิมที่ต้องการเรียกร้องให้ มหาราชา ตัดสินใจนำแคชเมียร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของปากีสถาน

               กองกำลังติดอาวุธของปากีสถานมีความสามารถทางการรบเหนือกว่ากองทัพของมหาราชามาก  กองทัพมหาราชาจึงต้องถอยร่น เปิดโอกาสให้กองกำลังของปากีสถานรุกกินพื้นที่เข้ามาในแคชเมียร์เรื่อยๆ 


(กองทัพของปากีสถาน เดินทัพเข้าสู่ดินแดนของจามมู และ แคชเมียร-ภาพจากวิกิพีเดีย)

23 ตุลาคม  ปากีสถานส่งกองทัพของตนเองเข้าแคชเมียร์ เพื่อสมทบกับกองกำลังติดอาวุธพาชตุน ที่กำลังรุกคืบเข้าไปในดินแดนของมหาราชา   เท่ากับปากีสถานประกาศตัวชัดว่าเป็นผู้รุกรานแคชเมียร์

มหาราชาไม่มีทางเลือกอื่น มิพักจะพูดถึงทางออกที่จะเป็นรัฐอิสระ   นอกจากจะต้องหันไปร้องขอความช่วยเหลือต่อรัฐบาลอินเดียของนายเนห์รู ให้เข้ามาช่วยยับยั้งการรุกรานของปากีสถาน

               ขณะนั้น  รัฐบาลอินเดียของเนห์รู ตั้งมั่นพร้อมที่จะลุยอยู่แล้ว   แต่ไม่เร่งรีบที่จะส่งกองกำลังเข้าไปช่วยมหาราชาในทันที   แต่ยื่นเงื่อนไขด้วยการส่งเอกสารสัญญาที่เรียกว่า INSTRUMENT OF ACCESSION  ให้แก่มหาราชาในวันที่ 26 ตุลาคม เพื่อแลกกับการเข้าไปช่วยเหลือทางทหารในการขับไล่กองทัพปากีสถานออกไป


(รัฐจามมู และ แคชเมียร์ )

               สาระสำคัญของสัญญาดังกล่าวก็คือ   มหาราชาฮารี ซิงห์ จะต้องลงนามเพื่อแสดงเจตจำนงให้รัฐจามมู และ แคชเมียร์ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียเสียก่อน

               มหาราชา ฮารี ซิงห์ ปรึกษาไปยัง  ลอร์ด เมาท์แบตเทน(LORD MOUNTBATTEN)  ซึ่งขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งผู้ว่าการทั่วไปของอินเดีย   เมาท์แบตเทน ให้คำแนะนำว่าจามมูและแคชเมียร์ ควรเข้าร่วมกับอินเดีย

               มหาราชาตอบตกลงกับเนห์รู ที่จะนำรัฐเจ้าชายทั้งหมดของพระองค์ อันประกอบด้วย จามมู(JAMMU) , แคชเมียร์(KASHMIR) , ดินแดนตอนเหนือ(NORTHERN AREA) , ลาดัคห์(LADAKH) , TRANS-KORAKORAM TRACT  และ อัคไซ ชิน(AKSAI CHIN) เข้าร่วมกับอินเดีย

               กองทัพอินเดียจึงเคลื่อนพลเข้าสู่ ดินแดนจามมูและแคชเมียร์ในทันที

               นั่นคือจุดเริ่มต้นของสงครามยาวนานหลายสิบปีระหว่างอินเดียและปากีสถาน

               รอพบกับโปรแกรม เจาะลึกอียิปต์ 10 วัน 7 คืน ของฤดูกาลปลายปีนี้  ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม เป็นต้นไป  บรรยายชมโดยผู้เชียวชาญอียิปต์มากว่า 30 ปี  และเป็นผู้เขียนหนังสือไกด์บุ๊ค 4 เล่ม  รวมถึงไกด์บุ๊ค “อียิปต์-กรีซ-ตุรกี” สอบถามได้ที่โทร 0885786666 หรือ LINE ID – 14092498

               พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .