ยกเลิกมาตรา 370 ภารกิจรัฐบุรุษ(ตอน29)

ซอกซอนตะลอนไป                           (23 กุมภาพันธ์ 2568)

ยกเลิกมาตรา 370 ภารกิจรัฐบุรุษ(ตอน29)

หลังอินเดียประกาศอิสรภาพ

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

แนวทางแก้ปัญหาของรัฐบาลอินเดียที่มีนายเนห์รู เป็นนายกรัฐมนตรีแตกออกเป็นสองสาย  คือ  สายพิราบ และ สายเหยี่ยว 

เนห์รู เน้นแนวทางการเจรจาเพื่อต่อรองหาทางออกร่วมกัน  ส่วนหนึ่งคงจะเกรงว่า  เรื่องจะบานปลายออกไปเป็นประเด็นนานาชาติ  และ อาจถูกนำเรื่องเข้าสู่องค์การสหประชาชาติได้ 

แต่ข้อสงสัยอีกส่วนหนึ่งต่อแนวคิดของเนห์รูที่มักจะเอนเอียงไปทางพวกมุสลิมนั้น  ผมจะพูดในโอกาสต่อไป   


(เนห์รู และ  คานธี-ภาพจากวิกิพีเดีย)

ขณะที่ซาร์ดาร์ พาเทล รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย  ผู้ได้รับฉายาว่า “บุรุษเหล็กแห่งอินเดีย” เป็นสายเหยี่ยว  เขาต้องการผลที่รวดเร็ว  แน่นอน  และ  ปลอดภัยต่อประเทศ

แต่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นเหมือนกันว่า   หากปล่อยให้ไฮเดอร์ราบาดเป็นอิสระแบบนี้   จะเป็นอันตรายต่ออินเดียอย่างใหญ่หลวงในอนาคต

เหมือนกับอินเดียจะมีสิ่งที่อาจก่อให้เกิดอาการท้องเฟ้อ  แน่นท้อง  และแน่นหน้าอก จนทำให้ถึงตายได้


(ซาร์ดาร์ พาเทล – ภาพจากวิกิพีเดีย)

สิ่งสำคัญที่ซาร์ดาร์ พาเทล ตระหนักถึงอันตรายของไฮเดอร์ราบาดต่ออินเดียอย่างยิ่งถูกยืนยันด้วยข้อมูลในประวัติศาสตร์  กล่าวคือ   นิซามแห่งไฮเดอร์ราบาด ถือเป็นรัฐเจ้าชายรัฐแรกของอินเดียที่ยอมทำสัญญาพันธมิตรแบบไม่เท่าเทียมกัน (SUBSIDIARY ALLIANCE) กับบริษัทอีสต์ อินเดีย ซึ่งก็คือรัฐบาลอังกฤษนั่นเอง ในปี 1798

สาระของสนธิสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาที่เอาเปรียบรัฐไฮเดอร์ราบาดอย่างมากมาย  เพราะสนธิสัญญาระบุว่า  รัฐที่เป็นพันธมิตรจะสูญเสียความเป็นอิสระของตนเอง  และตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอังกฤษอย่างสิ้นเชิง

จะว่าไป  ณ.เวลานั้นไฮเดอร์ราบาดก็คือเมืองขึ้นของบริษัท อีสต์ อินเดียไปแล้ว

ขณะเดียวกัน  บริษัทก็จะจัดตั้งกองทัพขึ้นมา  อ้างว่าเพื่อช่วยดูแลปกป้องรัฐไฮเดอร์ราบาด   แต่รัฐไฮเดอร์ราบาดจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการดูแลกองทัพ  ทั้งเงินเดือน  อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ 

ทำให้ผมอดที่จะนึกถึง  สนธิสัญญานาโต้ไม่ได้

ค่าใช้จ่ายต่างๆเหล่านี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินทองแล้ว  อังกฤษยังเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่รัฐไฮเดอร์ราบาดจะต้องจ่ายให้แก่อังกฤษเป็นดินแดนที่มีคุณค่า  ราคา  และ มีผลประโยชน์มากๆอีกด้วย

ในสนธิสัญญาดังกล่าว   ทำให้อังกฤษสามารถกีดกันการแทรกตัว  หรือ เสนอตัวเข้ามาของชาติยุโรปอื่นๆที่จะเข้ามาติดต่อค้าขายกับรัฐไฮเดอร์ราบาดด้วย

ข้อตกลงดังกล่าวยังระบุว่า   หากฝ่ายบริหารของรัฐไฮเดอร์ราบาดไม่สามารถส่งเงิน  หรือ เครื่องบรรณาการครบตามจำนวนที่อังกฤษต้องการเมื่อใด  อังกฤษสามารถยึดครองรัฐนั้นๆได้ทันที 

ที่สำคัญก็คือ   อังกฤษสามารถโค่นล้มการปกครองของผู้ปกครองอินเดีย  และยึดดินแดนนั้นๆมาเป็นของตนเองเมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ

ด้วยเหตุผลดังกล่าว   สนธิสัญญานี้จึงเป็นที่เรียกขานกันว่า   การเป็นพันธมิตรแบบไม่เท่าเทียมกัน  หรือ  พันธมิตรแบบเมืองขึ้น

ด้วยหลักฐานดังกล่าว   จึงสามารถยืนยันชัดเจนว่า  รัฐเจ้าชายแห่งไฮเดอร์ราบาด ไม่อยู่ในสถานะที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง 

นอกจากนี้  ไฮเดอร์ราบาดยังแอบติดต่อกับปากีสถาน เพื่อขอการสนับสนุนทางอาวุธ  และ  มีการสะสมอาวุธอย่างเป็นระบบ

นี่คือสิ่งที่ นายซาร์ดาร์ พาเทล มองเห็นอันตรายในอนาคต  หากว่าอังกฤษอาศัยข้ออ้างตามสนธิสัญญานี้เข้ามาแทรกแซงต่อกรณีของรัฐไฮเดอร์ราบาด

อินเดียจะตกอยู่ในฐานะลำบาก   แล้วจะทำอย่างไร

พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .