ชีวิตเป็นของมีค่า
ระบบการศึกษาของอินเดียล้ำหน้ากว่าไทยมาก (ตอน1)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ผมมีเพื่อนไกด์ที่สนิทกันมากคนหนึ่งในเมืองกอลกัตตา เขามีลูกสาวเรียนชั้น ป 7 (ขณะนี้) เมื่อสองปีก่อน ตอนที่เธอเรียนชั้น ป 5 ขณะที่ผมสนทนากับพ่อของเธอทาง ไลน์ แอพพลิเกชั่น เธอซึ่งมักจะนั่งอยู่ข้างๆได้ขอพ่อของเธอว่าอยากจะคุยกับผม
ความรู้สึกของผมตอนนั้น ผมไม่คิดว่าเด็กนักเรียนอินเดียชั้น ป 5 จะสามารถพูดคุยสื่อสารกันทางโทรศัพท์ด้วยภาษาอังกฤษได้
แต่ไม่น่าเชื่อ เธอพูดจาสื่อสารกับผมได้อย่างเข้าใจดีทุกเรื่อง หลังจากนั้น ผมก็พูดคุยกับเธอมาตลอดแทบจะทุกครั้งที่ผมคุยกับพ่อของเธอ แต่ละปี เธอพูดภาษาอังกฤษในระดับที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งได้คุยกับเธอเรื่องการสอบ และได้เห็นข้อสอบของโรงเรียน จึงคิดว่า น่าจะนำมาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบเกี่ยวกับระบบการศึกษาของอินเดียกันว่า
ระบบการศึกษาของไทยล้าหลังกว่าของอินเดียแค่ไหน
ระบบการศึกษาของอินเดียในระดับชั้นประถม 7 ปี จะแบ่งปีการศึกษาออกเป็น 3 เทอม เทอมละ 4 เดือน แต่การเก็บค่าเล่าเรียน หรือ ค่าเทอมของโรงเรียนจะเก็บกันเป็นรายเดือน
ระบบการศึกษาของอินเดียจะแบ่งโรงเรียนออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ
หนึ่ง โรงเรียนของรัฐบาลเต็มรูปแบบ หมายความว่า รัฐบาล ซึ่งหมายถึงรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละรัฐ ไม่ใช่รัฐบาลกลาง จะเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินร้อยเปอร์เซนต์ ดังนั้น จึงไม่มีการเก็บค่าเล่าเรียนใดๆทั้งสิ้น
สอง โรงเรียนกึ่งรัฐกึ่งเอกชน คือโรงเรียนที่รัฐบาลท้องถิ่นช่วยเหลือเงินบางส่วน โรงเรียนประเภทนี้มักจะก่อตั้งโดยองค์กรจากต่างประเทศ เช่น โบสถ์คริสต์ เป็นต้น แต่แน่นอนว่า ค่าใช้จ่ายขั้นต้นของโรงเรียนประเภทนี้จะแพงกว่าของโรงเรียนรัฐแน่นอน แต่มันก็หมายถึง รายละเอียดการเรียนการสอนที่ดีกว่า
คนชั้นกลางที่พอจะมีกำลังทรัพย์มากขึ้นมาหน่อย แต่ยังไม่ถึงขั้นร่ำรวย ก็จะส่งลูกหลานมาเรียนในโรงเรียนประเภทนี้
โรงเรียนเหล่านี้นอกจากจะได้รับเงินอุดหนุนจากองค์การใดองค์กรหนึ่ง เช่น โบสถ์คริสต์ รัฐบาลท้องถิ่นเข้ามาช่วยอุดหนุนให้โรงเรียนอีกส่วนหนึ่ง ทำให้ค่าเล่าเรียนมีราคาถูกลง สำหรับพ่อแม่ชนชั้นกลางที่มีฐานะพอที่จะส่งเสียลูกๆให้ดีกว่าโรงเรียนของรัฐ จะได้มีทางเลือก
แต่รัฐก็จะเข้าไปควบคุมราคาค่าเล่าเรียนด้วย
เพื่อนซึ่งลูกสาวเรียนชั้น ป.7 ของโรงเรียน CHRIST CHIRCH GIRL’S HIGH SCHOOL ที่เมืองกอลกัตตา จะต้องจ่ายค่าเทอมเป็นรายเดือน เดือนละ 1800 รูปี หรือเทียบเท่ากับ 900 บาท ค่าใช้จ่ายนี้จะรวมค่าใช้จ่ายในการเรียนคอมพิวเตอร์ที่มีราคา 100 รูปีด้วย
เวลาเรียนของโรงเรียนทั่วไปจะอยู่ที่ 10.00 น. ถึง 16.20 น. เนื่องจาก โรงเรียนจะไม่มีร้านอาหาร นักเรียนทุกคนจึงต้องเตรียมอาหารเที่ยงมาจากบ้านกันเอง
สาม โรงเรียนที่เป็นของเอกชนร้อยเปอร์เซนต์ที่ไม่รับเงินสนับสนุนจากรัฐ รัฐจึงไม่สามารถเข้าไปควบคุมเรื่องราคาค่าเล่าเรียนได้ เพียงแต่ควบคุมในเรื่องคุณภาพของหลักสูตรเท่านั้น เปรียบไปก็คือ โรงเรียนเอกชนในประเทศไทย ที่มีค่าเล่าเรียนสูงกว่าโรงเรียนของรัฐ
โรงเรียนประเภทที่ 3 นี้ แบ่งออกเป็นหลายระดับ ตั้งแต่ระดับราคาถูก จนถึงระดับแพงหูฉี่ เช่นโรงเรียนอินเตอร์ที่มีค่าเล่าเรียนเป็นล้าน พ่อแม่ตั้งแต่ชนชั้นกลางและสูง ที่ต้องการจะทุ่มเททรัพยากรของตัวเองเพื่อลูก ก็สามารถเลือกส่งลูกมาเรียนได้ตามระดับราคาที่สามารถจ่ายได้
โรงเรียนระดับแพงหูฉี่นี้เอง ที่บรรดามหาเศรษฐีอินเดียที่มีเงินเยอะมากจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร ได้หันมาลงทุนในธุรกิจที่ว่านี้ เพราะได้ทั้งกำไร และ ทั้งชื่อเสียง เช่น ตระกูลธุรกิจ RELIANCE และ ตระกูล BIRLA เป็นต้น
โรงเรียนประเภทที่ 4 เป็นโรงเรียนที่มาในรูปแบบพิเศษ เพื่อช่วยเหลือนักเรียนประเภทที่มีอนาคต หรือ นักเรียนที่ฉายแววความเก่ง หากได้รับการสนับสนุนที่ดี และ ถูกทาง
รออ่านรายละเอียดของมาตรฐานโรงเรียนประเภทที่ 4 ของอินเดียในตอนหน้านะครับ