ซอกซอนตะลอนไป (23 มิถุนายน 2567)
ไต้หวัน ผู้ปฎิเสธรากเหง้าตัวเอง(ตอน15)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
สถานการณ์สงครามกลางเมืองของประเทศจีนระหว่างกองทัพรัฐบาลกั๊ว มิน ตั๋ง ที่นำโดย เจียง ไค เช็ค กับ กองทัพประชาชนของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่นำโดย เหมา เจอ ตง เริ่มจะงวดเข้ามาทุกที โดยที่กองทัพของฝ่ายกั๊ว มิน ตั๋ง เป็นฝ่ายพ่ายแพ้จนต้องถอยลงไปทางใต้
ในที่สุด วันที่ 7 ธันวาคม ปี 1949 เจียง ไค เช็ค พร้อมด้วยทหารและเจ้าหน้าที่อีกประมาณ 2 ล้านคนก็ต้องอพยพออกจากแผ่นดินใหญ่จีนไปยังเกาะไต้หวัน ด้วยความหวังว่า วันหนึ่งจะหวนคืนกลับมายึดแผ่นดินจีนกลับคืนจากพรรคคอมมิวนิสต์

(พิพิทภัณฑ์ NATIONAL PALACE MUSEUM – ภาพจากวิกิพีเดีย)
แต่ที่น่าสนใจก็คือ การอพยพออกจากแผ่นดินใหญ่จีนซึ่งมีการวางแผนมาก่อน ได้ขนเอาทองคำ และ วัตถุโบราณล้ำค่าของประเทศจีนไปด้วยจำนวนมหาศาล วัตถุโบราณซึ่งส่วนใหญ่ขนออกมากจากพระราชวังต้องห้ามในกรุงปักกิ่ง ปัจจุบันนี้จัดแสดงอยู่ในพิพิทภัณฑ์ NATIONAL PALACE MUSEUM ในกรุงไทเป
แต่ดูเหมือนว่า รัฐบาลกั๊ว มิน ตั๋ง จะใช้ทองคำที่ขนมาหมดไปกว่า 80 เปอร์เซนต์หลังจากอพยพออกจากประเทศจีนได้เพียง 2 ปี
เชื่อกันว่า ทองคำดังกล่าวจำนวนกว่า 800,000 ตำลึงจีนถูกนำไปใช้ในการวางรากฐานของระบบเศรษฐกิจของไต้หวัน และ ออกธนบัตรใหม่เพื่อใช้แทนธนบัตรเก่า ในอัตรา 1 ต่อ 40,000 และ เรียกสกุลเงินใหม่ว่า NT ซึ่งย่อมาจากคำว่า NEW TAIWANESE DOLLAR

(เจียง ไค เช็ค และ เจียง จิง กั๋ว บุตรชายของเขา-ภาพจากวิกิพีเดีย)
หลังจากเจียง ไค เช็ค อพยพเข้ามาตั้งฐานที่มั่นบนเกาะไต้หวัน เขาก็เริ่มใช้กฎอัยการศึกอีกครั้ง หลังจากที่ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ และครั้งนี้เป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน 38 ปีที่ถูกยกเลิกในที่สุดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ปี 1987 ในสมัยของประธานาธิบดี เจียง จิง กั๋ว ลูกชายของ เจียง ไค เช็ค
ประธานาธิบดีสามคนแรกของไต้หวันเป็นคนในตระกูลเจียง 2 คน และ เยน เชีย คาน ที่เข้ามาขั่นกลาง ทั้งสามคนล้วนเกิดและเติบโตในประเทศจีน
คนที่ 4 ก็คือ หลี่ เติง หุย ซึ่งเกิดในไต้หวันในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครอง เขามีชื่อเป็นญี่ปุ่นเขียนด้วยภาษาคันจิว่า 岩里政男 แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่นัก พี่ชายของเขามีชื่อญี่ปุ่นคือ อิวาซาโต ทาเคโนริ
อาจเป็นเพราะบิดาของเขาทำงานแป็นตำรวจของญี่ปุ่นมาก่อนในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครองไต้หวัน เขาจึงมีความคิดฝักใฝ่ และ หลงไหลในความเป็นญี่ปุ่นมาก

(หลี่ เติ้ง ฮุย (คนขาว) กับพี่ชายของเขาในชุดทหารญี่ปุ่น-ภาพจาวิกิพีเดีย)
หลังจากจบชั้นมัธยมปลายในไต้หวัน เขาได้รับทุนให้ไปศึกษาในมหาวิทยาลัย เกียวโต อิมพีเรียล ซึ่งเป็นโรงเรียนญี่ปุ่นในไต้หวันปี 1944 แม้จะยังไม่จบการศึกษา เขาก็สมัครเข้าเป็นทหารของกองทัพญี่ปุ่น และได้รับยศร้อยตรี ทำหน้าที่ผู้บัญชาการปืนต่อสู้อากาศยานในกรุงไทเป
เขาถูกส่งตัวไปญี่ปุ่นในเดือนมีนาคม ปี 1945 เพื่อช่วยดูแลทำความสะอาด และ ฟื้นฟูกรุงโตเกียว หลังจากที่โตเกียวถูกถล่มด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดของกองทัพพันธมิตร หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ญี่ปุ่นก็ประกาศยอมแพ้สงคราม

(หลี่ เติ้ง ฮุย -ภาพจากวิกิพีเดีย)
หลี่ เติ้ง ฮุย จึงกลับไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเกียวโต และ จบการศึกษาในปีต่อมา
เดือนกันยายน ปี1946 หลี่ เติ้ง ฮุย สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ไม่นานก็ลาออก เขาสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์อีกครั้ง แล้วก็ลาออกอีกจนได้
หลี่ เติ้ง ฮุย ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของไต้หวันในเวลาต่อมา ถือเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่เกิดบนเกาะไต้หวัน และ ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งประชาธิปไตยในเวลาต่อมา
แต่มีนักวิชาการบางคนให้ฉายาเขาว่า เป็นสุดยอดคนกลอกกลิ้งคนหนึ่ง

พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ