สินสอดมรณะ และ การแต่งงานของชาวอินเดีย(ตอน3)

ซอกซอนตะลอนไป                           (22  มกราคม  2566)

สินสอดมรณะ และ การแต่งงานของชาวอินเดีย(ตอน3) 

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

               เป็นเคราะห์กรรมของผู้หญิงชาวอินเดียในยุคโบราณบางคน ที่ต้องประสบกับชะตากรรมจากประเพณีสินสอดมรณะนี้   จนกระทั่ง ปีค.ศ. 1956

               เพราะก่อนหน้าปี ค.ศ. 1956 ซึ่งเป็นช่วงที่อินเดียผู้ภายใต้การปกครองของอังกฤษอย่างเต็มรูปแบบ  ที่เรียกกันว่า BRITISH RAJ นั้น  สตรีชาวอินเดียไม่มีสิทธิในการรับมรดกจากบิดาที่เสียชีวิตไปแม้แต่รูปีเดียว

               ไม่ว่าบิดาของเธอจะมีฐานะร่ำรวยขนาดไหนก็ตาม

               อาจเพราะเหตุนี้  ที่ทำให้ฝ่ายชายที่เป็นผู้ได้รับสินสอดจากฝ่ายหญิงมองว่า   หากบิดาของภรรยามีฐานะร่ำรวย  แต่หลังจากแต่งงานออกจากบ้านเดิมแล้ว  เธอจะขาดจากการเป็นผู้รับมรดกจากบิดาในทันที


(ระบบสินสอดของอินเดีย ซึ่งเป็นมุมมืดของสังคม ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นการ์ตูนล้อเลียน)

               แต่หากบิดาของฝ่ายหญิงยังมีชีวิตในช่วงที่ทั้งสองแต่งงานกัน  บิดาของฝ่ายหญิงสามารถมอบทรัพย์สินเงินทอง  บ้าน  ที่ดิน  และ  ทรัพย์สินอื่นใดให้แก่ลูกสาวของตัวเองนำติดตัวไปยังบ้านสามีได้

               นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่ง หรือเป็นที่มาของการจ่ายค่าสินสอดจำนวนมากของฝ่ายหญิงในอินเดีย 

               แม้ว่า   การมอบสินสอดของฝ่ายเจ้าสาว  จะมีข้อบังคับบางอย่าง  เช่น  ทรัพย์สินเงินทอง หรือ อสังหาริมทรัพย์ต่างๆที่ฝ่ายหญิงนำติดตัวไปบ้านเจ้าบ่าว  จะเป็นทรัพย์สินของเจ้าสาวตลอดไป

               ฝ่ายเจ้าบ่าว หรือ  ครอบครัวของเจ้าบ่าวจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือ เป็นเจ้าของร่วมแต่ประการใด

               เจ้าสาวที่มีบิดามีฐานะดี  บิดาย่อมเป็นห่วงฐานะความเป็นอยู่  และ สถานะทางสังคม ของลูกสาวตนเองที่ต้องจากบ้านไปอยู่กับฝ่ายชาย   บิดาจึงมักจะมอบความมั่นคงเอาไว้ให้เธอในจำนวนที่มากพอในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่

               เพราะหากเขามีอันเป็นไปเสียก่อน   ลูกสาวของเขาจะไม่สามารถรับมรดกใดจากเขาเลย  ซึ่งนี่คือประเพณีปฎิบัติของชาวฮินดูในอินเดีย  


(รัฐสภาอินเดีย ที่กรุงเดลี)

               จนเมื่ออินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษในปีค.ศ. 1947   รัฐสภาอินเดียได้เล็งเห็นความไม่เป็นธรรมของสภาพสังคมของตัวเอง   จึงได้ผ่านร่างกฎหมายมรดกของชาวฮินดูปี 1956 (THE HINDU SUCCESSION ACT , 1956) ซึ่งกำหนดให้สถานภาพของลูกสาว และ ลูกชายมีความเท่าเทียมกัน  ทำให้ลูกสาวมีโอกาสที่จะได้รับมรดกจากบิดาของตนเองนับแต่นั้นมา  

               กฎหมายดังกล่าวครอบคลุมเฉพาะชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดู  ,  ศาสนาซิกห์  และ  ศาสนาเชน เท่านั้น   รัฐบาลอินเดียอนุญาตให้ชาวมุสลิมในประเทศสามารถใช้กฎหมายชาเรีย หรือ กฎศาสนาของตนเองได้

               กระนั้นก็ตาม  ปัญหาเรื่องการที่ฝ่ายเจ้าสาวต้องนำเอาทรัพย์สมบัติจำนวนมากเสมือนเป็นสินสอดไปยังบ้านของเจ้าบ่าวก็ยังไม่หมดไป    และ ยังก่อให้เกิดปัญหามากมาย 


(วันแต่งงานที่มีความสุขของเจ้าสาว  อาจเป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายไปตลอดชีวิตของเธอก็ได้)

               เช่น  ครอบครัวของฝ่ายหญิงที่ยากจนอยู่แล้ว  แต่ไม่ต้องการให้ลูกสาวของตนเองถูกครอบครัวฝ่ายชายดูถูกเหยียดหยาม  หรือ  ปฎิบัติต่อเธอในทางที่มีอคติ   ก็อาจจะต้องไปกู้หนี้ยืมสินเพื่อจ่ายสินสอดที่ว่านี้

               ในบางกรณีที่ครอบครัวฝ่ายหญิงไม่อาจหาเงินทองมาให้แก่ลูกสาวได้   และไปเจอครอบครัวฝ่ายชายที่มีอคติสูงมาก   เธอก็อาจจะถูกครอบครัวฝ่ายชายกดดันในหลายรูปแบบ  กลั่นแกล้งต่างๆนานา  จนบางรายถูกสมาชิกในครอบครัวสามีร่วมกันทำร้ายจนเสียชีวิต  หรือ บางครั้งหญิงสาวอาจจะทนไม่ได้จนต้องฆ่าตัวตาย

               แล้วอินเดียจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

               ติดต่อต่อในสัปดาห์หน้าครับ

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .