ซอกซอนตะลอนไป (9 ตุลาคม 2565)
วันไหว้ครู สิ่งที่สูญหายไป(ตอน2)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ผมจำได้เคร่าๆว่า เช้าของวันไหว้ครู นักเรียนจะเข้าแถวกันหน้าเสาธง หลังจากเชิญธงขึ้นยอดเสาแล้ว ก็จะเป็นพิธีไหว้ครู นักเรียนจะพนมมือถือดอกไม้ธูปเทียนที่เตรียมมา แล้วว่าตามผู้นำที่กล่าวสรรเสริญพระคุณของครู โดยเริ่มต้นด้วยบทสวดเป็นภาษาบาลีว่า
“ปาเจราจริยาโหนติ คุณุตตรา นุสาสกา” แล้วต่อด้วยความหมายในภาษาไทยเริ่มต้นว่า “ข้าขอประณตน้อมสักการ………..” จนจบ
จากนั้น นักเรียนก็จะรวบรวมดอกไม้ธูปเทียนใส่พานแล้วให้ตัวแทนนำไปมอบให้แก่ครูประจำชั้น ประมาณนี้
ในปัจจุบันชาวอินเดียฮินดู ก็มีวันไหว้ครูที่เรียกว่า กูรูปูรนิมา และ วัฒนธรรมนี้เองที่ถ่ายทอดมาสู่ประเพณีการไหว้ครูของไทย
แต่แนวคิดวันไหว้ครูของฮินดูนั้นแตกต่างจากวันไหว้ครูของไทยในหลายๆประเด็น ข้อแรก วันไหว้ของครูไทยถูกกำหนดวันที่แน่นอนคือวันที่ 16 มกราคม ซึ่งเป็นมติของคณะรัฐมนตรีที่มีจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 โดยไม่แน่ใจว่าอ้างอิงจากอะไร
ทำให้ ต่อมาวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 จึงได้มีพิธีไหว้ครูขึ้นเป็นครั้งแรก
จะเห็นว่าวันไหว้ครูของไทยถูกกำหนดขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงองค์ประกอบใดอื่น เช่น เป็นวันพฤหัสฯ หรือ วันขึ้น หรือ แรมกี่ค่ำ คงจะเป็นเพราะเป็นการกำหนดตามปฎิทินแบบสุริยคติ
แต่วันครูของชาวฮินดูซึ่งเป็นต้นธารของวัฒนธรรมไทยนั้น กำหนดให้วันครูก็คือวัน กูรูปูรนิมา(GURU PURNIMA) ตรงกับขึ้น 15 ค่ำเดือนอัษฎา(ASHADHA) หรือ อาสาฬหะ หรือ เดือนที่ 4 ตามปฎิทินของฮินดู จะตกอยู่ระหว่างเดือนมิถุนายน และ กรกฎาคม ตามปฎิทินแบบเกรกอเรียนที่ทั่วโลกใช้กัน
คติทางศาสนาพุทธถือว่า วันดังกล่าวเป็นวันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิติปัตนะมฤคทายวัน หรือเมืองสารนาถ ในประเทศอินเดีย
แสดงนัยว่า เป็นวันกำเนิด “ครู” และ “ลูกศิษย์”ขึ้นในโลก แม้ว่า ก่อนหน้านั้นจะมีครูและลูกศิษย์มาแล้ว
ในวันดังกล่าว ชาวฮินดูส่วนหนึ่งโดยเฉพาะคนในวรรณะพราหมณ์จะทำพิธีปูจา เพื่อบูชาคุณของพระพุทธเจ้า เพราะนับถือว่า พระพุทธเจ้าได้ค้นพบสัจธรรมแห่งโลก และ ชีวิต อันเป็นความจริงสูงสุด
ในวันดังกล่าว บรรดาลูกศิษย์ลูกหาที่เล่าเรียนจบ ทำงานทำการแล้ว และยังระลึกถึงครูบาอาจารย์ของตน ก็จะเดินทางไปที่บ้านครู เพื่อแสดงความสำนึกในพระคุณ และ แสดงกตเวทิตา ต่อครูผู้เคยสั่งสอนตนเอง โดยจะต้องนัดหมายกับครูบาอาจารย์ให้เรียบร้อยล่วงหน้า
สำหรับลูกศิษย์บางคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ เช่นเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักเขียน หรือ กำลังจะทำปริญญาเอก ก็มักจะเอาผลงาน หรือ วิทยานิพนธ์ (THESIS) ที่กำลังทำไปให้ครูดู และมักจะเขียนอุทิศให้แก่ครูผู้นั้นด้วย
การแสดงมุทิตาต่อครูเป็นไปอย่างเรียบง่าย คุณครูจะเอาถาดโลหะที่มีหญ้าแพรก ข้าวเปลือก ดอกไม้ และ โยเกิร์ตวางอยู่ รวมถึงอาจมีเทียนจุดไฟวางอยู่ ครูจะถือถาดวนเหนือศรีษะลูกศิษย์เป็นการให้พร เช่น อวยพรให้มีอายุยืน ขอให้มีชื่อเสียง ขอให้มีโชคดี ขอให้มีลูก 100 คน ขอให้มีชัยชนะในการทำงาน เป็นต้น แล้วใช้นิ้วจิ้มโยเกิร์ตแล้วไปแตะที่หน้าผากของลูกศิษย์ รวมเรียกว่า พิธีอาชิรวาด(ASHIRWAD) หรือ พิธีให้พร
แล้วก็มอบหญ้าแพรก ข้าวเปลือก หรือ ดอกดาวเรืองให้แก่ลูกศิษย์ถือกลับไป และบอกกับลูกศิษย์ให้รำลึกถึงความหมายของสิ่งเหล่านี้
หญ้าแพรก เป็นหญ้าศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาฮินดู เรียกว่า DARBHA GRASS หมายถึงความเข้มแข็ง อดทน พร้อมที่จะเจริญงอกงามได้แม้ในพื้นที่แห้งแล้ง ข้าวเปลือกเป็นความหมายว่า ไม่ว่าจะตกลงที่ใดก็สามารถเจริญงอกงามได้
สำหรับนักเรียนชั้นเล็กๆเช่นชั้นประถม จะมีการทำพิธีบูชาครูกันในห้องเรียน เป็นพิธีง่ายๆคือ นักเรียนจะก้มลงใช้มือแตะที่เท้าของครู แล้วเอามาแตะที่หน้าอก เป็นการเคารพสูงสุดที่เรียกว่า ประนาม(PRANAM) ขณะเดียวกัน ครูก็จะเอามือแตะที่ศรีษะของเด็กแล้วให้พร จากนั้น ครูจะมอบของขวัญเล็กๆน้อยๆให้ลูกศิษย์เช่น ดินสอ ยางลบ หรือ หนังสือ
ส่วนชั้นที่โตกว่า บางครั้งนักเรียนจะเลือกเพื่อนคนหนึ่งขึ้นไปทำหน้าที่สอนแทนครู โดยครูจะลงมานั่งฟังร่วมกับนักเรียนในชั้นด้วย เป็นการเปลี่ยนการรับรู้ในบทบาทหน้าที่ซึ่งกันและกัน
เห็นความแตกต่างของการไหว้ครูของอินเดียซึ่งเป็นต้นตำรับ กับพิธีไหว้ครูของไทยที่ถูกดัดแปลงไปจากเดิมอย่างมาก ใครจะชอบแบบไหนก็ตามถนัด
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ