โคตรอภิมหาเศรษฐีผู้มีคุณธรรม(ตอน3)

ซอกซอนตะลอนไป                           (17 เมษายน 2565)

โคตรอภิมหาเศรษฐีผู้มีคุณธรรม(ตอน3)

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

               หลังจากกลับจากการเดินทางท่องเที่ยวไปในประเทศจีน  เพื่อศึกษาเรื่องธุรกิจการค้าฝิ่นในประเทศจีนตามคำแนะนำของบิดา  เขาได้เรียนรู้ว่าธุรกิจสิ่งทอกำลังเติบโตอย่างมาก

               หลังจากนั้นก็ไม่ได้เดินหน้าทำธุรกิจค้าฝิ่นอีกเลย  อาจเป็นเพราะธุรกิจนี้อังกฤษเป็นผู้ผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว และ  ตลาดใหญ่ของฝิ่นก็คือประเทศจีนที่อยู่ภายใต้การครอบงำของอังกฤษ

               อีก 5 ปีต่อมา คือปีค.ศ. 1874  หลังจากขายโรงงานทอผ้าที่ดัดแปลงมาจากโรงกลั่นน้ำมันที่ เชนโปคลีจนได้กำไรพอสมควรแล้ว  จัมเซตจิ ตาต้า ก็เริ่มด้วยการก่อตั้งโรงงานทอผ้าที่เมือง  นากปูร์(NAGPUR) อยู่ในรัฐมหาราษฎระ รัฐเดียวกับเมืองบอมเบย์  แต่อยู่ห่างจากบอมเบย์ไปทางตะวันออกประมาณ 823 กิโลเมตร


(เมือง นากปูร์ (ศรชี้สีแดงขวา)  ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองบอมเบย์ (ลูกศรชี้ด้านซ้าย) )

               ก่อให้เกิดเสียงก่นด่า และ ฉงนสนเท่ห์ว่า  จัมเซตจิ อาจจะบ้าไปแล้วที่ไปเลือกที่ตั้งโรงงานทอผ้าในเมืองที่ห่างไกลและกันดารมากขนาดนี้ 

               ทำไม จึงไม่เลือกที่ตั้งโรงงานในบอมเบย์ ที่มีความพร้อมในเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานมากกว่า  และเป็นเมืองที่ครอบครัวตาต้าลงหลักปักฐานอยู่ด้วย

               แต่ไม่มีใครรู้ดีเท่าจัมเซตจิ  เหตุผลที่เขาเลือกเมืองนากปูร์เป็นที่ตั้งโรงงานก็เพราะที่ดินมีราคาถูกมาก  และ  บริเวณโดยรอบมีแหล่งปลูกฝ้ายมากมายที่พร้อมจะส่งวัตถุดิบให้แก่โรงงานของเขาได้

               ซึ่งในเวลาต่อมา  ได้พิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง


(เมืองจัมเชตปูร์(ในวงกลมแดง) ที่ตั้งชื่อตาม จัมเชตจิ เป็นการให้เกียรติเขา ซึ่งอยู่ใกล้กับเมือง กัลกัตตา (ศรชี้สีแดง) 

               นอกจากโรงงานที่เมืองนากปูร์แล้ว  จัมเซตจิ ยังเลือกที่จะตั้งโรงงานอีกแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆที่ห่างไกล คือ หมู่บ้านซัคชิ  ในรัฐจักฮานด์(JHARKHAND) ซึ่งอยู่ติดกับรัฐเบงกอลตะวันตก ที่มีเมืองกัลกัตตา เป็นเมืองหลวงภายใต้การปกครองของอังกฤษในขณะนั้น 

               หมู่บ้านนี้   ต่อมาพัฒนากลายมาเป็นเมืองใหญ่ที่มีระบบสาธารณูปโภคครบครัน  ชาวเมืองจึงเปลี่ยนชื่อเมืองเสียใหม่ว่า จัมเชตปูร์(JAMSHEDPUR) และ ตั้งชื่อสถานีรถไฟของเมืองว่า ตาตานอะการ์(TATANAGAR) เพื่อเป็นเกียรติ และ  รำลึกถึงพระคุณของเขาที่มีต่อเมืองนี้

               สิ่งที่ผมรู้สึกประทับใจในตัวของ จัมเชตจิ ก็คือปรัชญาในการประกอบธุรกิจของเขา


(โรงงานทอผ้าของ จัมเซตจิ ไม่ระบุว่าอยู่ที่เมืองไหน)

               ในปีค.ศ. 1912   เขาให้คนงานของเขาทำงานเพียงวัน 8 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5 วัน ซึ่งน้อยชั่วโมงกว่าที่ทำงานอื่นๆในยุคนั้นมากมาย  พร้อมทั้งจัดโรงงานให้มีระบบถ่ายเทอากาศที่ดี 

ปีค.ศ. 1915  เขาเสนอระบบการรักษาฟรีให้แก่พนักงานของเขาทุกคน 

ต่อมาในปีค.ศ. 1920  เขาตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่เรียก PROFIDENCE FUND ให้แก่พนักงานของเขา  นับเป็นระบบสวัสดิการของพนักงานโรงงานครั้งแรกของโลก  ก่อนหน้าที่ยุโรปจะเอาระบบดังกล่าวมาใช้หลายสิบปี 

               จัมเซตจิ  มีหลักในการทำธุรกิจของเขาในแบบที่ทันสมัยมากๆกล่าวคือ  เขาระบุว่า  การทำธุรกิจของบริษัทของเขาจะต้องมีความเป็นธรรมทั้งต่อลูกค้า  และ  พนักงาน  ซึ่งแม้กระทั่งในปัจจุบัน เราจะเห็นเพียงบริษัทที่มุ่งแต่จะเอาเปรียบผู้บริโภค และ พนักงานของตัวเองอยู่ทุกนาที 


(โรงงานถลุงเหล็กของ จัมเซตจิ ตาต้า หนึ่งในธุรกิจหลักที่เป็นรากฐานของธุรกิจของตระกูลตาต้า)

               เขากำหนดว่า   บริษัทของเขาจะต้องมีความซื่อสัตย์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย  ต้องมีความโปร่งใส่ในการทำธุรกิจ   และ  มีมารยาทในการประกอบธุรกิจแบบผู้ดี

               เขาย้ำว่า  ธุรกิจของเขาจะต้องทนทาน และ พร้อมให้สาธารณะ หรือ ประชาชนสอดส่อง และ ตรวจสอบได้ทุกเมื่อ

               ใครจะคิดว่า  แม้แต่ธุรกิจโรงพยาบาลจำนวนมากในปัจจุบันของประเทศไทย  ยังไม่อาจทนทาน หรือ  พร้อมให้สาธารณะตรวจสอบได้เลย

               สัปดาห์หน้า  ผมจะพูดถึงสิ่งที่ จัมเซตจิ  มีความตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จ

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .