ซอกซอนตะลอนไป (6 มีนาคม 2565)
กว่าจะเป็นวันภาษาแม่นานาชาติ(ตอน1)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
หลายท่านอาจนึกไม่ถึงว่า มีวันเช่นว่านี้ในโลกนี้ด้วยหรือ
“วันภาษาแม่นานาชาติ” (INTERNATIONAL MOTHER LANGUAGE DAY) ครับ ซึ่งก็คือวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565 ที่เพิ่งจะผ่านพ้นไป
ในประเทศไทยไม่มีใครพูดถึงเลย แม้กระทั่งกระทรวงวัฒนธรรม ผมจึงขอนำเอาเรื่องราวความเป็นมาของวันนี้ให้ทราบกันครับ
ยูเนสโก(UNESCO) ได้ประกาศให้วันที่ 21 กุมภาพันธ์ เป็นวันภาษาแม่นานาชาติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ปีค.ศ. 1999 และได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากที่ประชุมใหญ่ของสหประชาชาติ(UNITED NATIONS GENERAL ASSEMBLY) เป็นมติที่ 56/262 ในปีค.ศ. 2002
ความหมายของ “ภาษาแม่” ก็คือ ภาษาที่ชนกลุ่มใดๆใช้กันมาตั้งแต่เกิด เป็นภาษาพื้นถิ่น (NATIVE TONGUE) ของชนกลุ่มนั้นที่อาศัยอยู่ด้วยกัน
มันจึงมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน นอกเหนือจากการแสดงตัวตน แสดงความเชื่อมโยงกันของกลุ่มชน และ แสดงถึงความภาคภูมิใจของหมู่ชนด้วย
ฟังดูเหมือนง่าย แต่กว่าจะทำให้มนุษย์บนโลกใบนี้ได้สำนึกถึงภาษาแม่ ผู้คนจำนวนหนึ่งจำต้องยอมพลีชีพเพื่อให้ได้มา
จุดกำเนิดของ “วันภาษาแม่นานาชาติ” อยู่ที่ประเทศบังคลาเทศ หรือ ประเทศปากีสถานตะวันออกในอดีต
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปก่อนที่ประเทศอินเดียจะได้รับเอกราชจากอังกฤษในปีค.ศ. 1947 อินเดียเป็นประเทศที่กว้างใหญ่มาก นอกจากจะมีภาษาพูดที่แตกต่างกันนับร้อยๆภาษาแล้ว ยังแบ่งกลุ่มชนออกเป็นผู้นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มใหญ่ของประเทศ และ อีกพื้นที่หนึ่งซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม
ช่วงที่อินเดียใกล้ได้รับอิสรภาพจากอังกฤษ มูฮัมหมัด อาลี จินนาห์(MUHAMMAD ALI JINNAH) ผู้นำของชาวมุสลิมเจรจาขอแยกประเทศเพื่อตั้งเป็นประเทศของชาวมุสลิมโดยเฉพาะ
พรรค อินเดียน เนชั่นนัล คองเกรส(INDIAN NATIONAL CONGRESS) ในยุคนั้นที่นำโดย นาย ยาวาฮาร์ลาล เนห์รู(JAWAHARLAL NEHRU) และ มหาตมะ คานธี(MAHATMA GANDHI) ยอมต่อข้อเรียกร้องนี้
จึงเกิดประเทศปากีสถาน ที่แยกตัวออกจากประเทศอินเดีย
ปัญหาก็คือ ปากีสถานมีดินแดนไม่ติดกันเพราะมีอินเดียขั้นกลางทำให้เกิดประเทศปากีสถานตะวันตก และ ปากีสถานตะวันออก อยู่ห่างกันประมาณ 2 พันกิโลเมตร ที่นอกจากนับถือศาสนาอิสลามเหมือนกันแล้ว ภาษาพูดและวัฒนธรรมของชาวปากีสถานตะวันออกมีความแตกต่างจากภาษาพูดของปากีสถานตะวันตกค่อนข้างมาก
รัฐบาลกลางของปากีสถานตั้งอยู่ที่ปากีสถานตะวันตก มีเมืองหลวงแห่งแรกชื่อ การาจี ทำหน้าที่บริหารประเทศทั้ง ปากีสถานตะวันตก และปากีสถานตะวันออก
ตอนที่ปากีสถานตะวันออกแยกดินแดนออกไปจากอินเดียนั้น ได้ตัดเอาบางส่วนของรัฐเบงกอลออกไป ตามแนวทางของอังกฤษที่ได้ทำเอาไว้ก่อนหน้านั้น เรียกว่า เบงกอลตะวันออก ส่วนที่เหลือที่เป็นของอินเดีย เรียกว่า เบงกอลตะวันตก
การแบ่งรัฐเบงกอลออกไปนั้น ทำให้ชาวฮินดูจำนวนไม่น้อยถูกเปลี่ยนสถานะไปเป็นพลเมืองปากีสถานตะวันออกที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นหลักและพูดภาษา อูร์ดู ซึ่งแตกต่างจากชาวฮินดูที่พูดภาษาเบงกาลี
ชาวฮินดู ที่พูดภาษาเบงกาลี จึงเลือกที่จะอพยพกลับสู่รัฐเบงกอลตะวันตกซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู
ผู้อพยพจากเบงกอลตะวันออกจำนวนมากเข้ามาตั้งรกรากในเมืองกอลกัตตา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐเบงกอลตะวันตก
หนึ่งในครอบครัวผู้อพยพกลับกอลกัตตาก็คือ รพินทรนาถ ตะกอร์ เจ้าของรางวัลโนเบลคนแรกของเอเชีย
ชาวปากีสถานที่นับถือศาสนาอิสลามจะพูดภาษาอูร์ดู(URDUR) เป็นภาษาจากการผสมผสานของภาษาอิหร่าน เปอร์เชีย ตุรกี อาหรับ ฮินดี และ สันสกฤต ที่แม้แต่ชาวอินเดียจากพื้นที่อื่นก็ยังยากที่จะเข้าใจ
ปีค.ศ. 1948 หลังการก่อตั้งประเทศปากีสถานเพียงปีเดียว รัฐบาลปากีสถานการาจีประกาศให้ภาษาอูร์ดู เป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียวของประเทศ และปฎิเสธการมีอยู่ของภาษาอื่นๆที่ติดมาในรัฐเบงกอลตะวันออก ก่อนจะมาเป็นประเทศปากีสถานตะวันออก
ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อประชาชนปากีสถานตะวันออกอย่างยิ่ง
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดรอติดตามในสัปดาห์หน้าครับ