ซอกซอนตะลอนไป (16 มกราคม 2565)
น้ำตานองแผ่นดินอินเดียเพื่อทหาร(ตอน5)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ขณะที่รอผลของคดีที่นายราช นารายัน ฟ้องร้องต่อนางอินทิรา คานธี ในข้อหาโกงเลือกตั้งซึ่งยาวนานร่วม 5 ปีนั้น ประชาชนเริ่มตื่นตัวในเรื่องการใช้อำนาจโดยมิชอบในการเลือกตั้งของนางอินทิรามากขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านั้นประชาชน และ นักการเมืองอินเดีย เริ่มตระหนักถึงวิธีการที่ไม่ค่อยโปร่งใสของนางอินทิรา จนทำให้ผู้แทนราษฎรของพรรคคองเกรส ลดลงอย่างมาก
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเริ่มเอาคืน ด้วยการลงมติ 7 ต่อ 6 เสียง ให้เข้มงวดต่อการทีของรัฐสภาที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลว่า อาจจะกระทบกระเทือนต่อโครงสร้างหลักของกฎหมายรัฐธรรมนูญได้
เป็นการยิงหมัดตรงเข้าหานางอินทิรา คานธี

(นาย เอ.เอ็น.เรย์)
นางอินทิรา ไม่อ่อนข้อให้เช่นกัน เธอออกคำสั่งแต่งตั้งให้ นาย เอ.เอ็น. เรย์ (A.N.RAY)ให้เป็นหัวหน้าคณะตุลาการของอินเดีย(CHIEF JUSTIC OF INDIA) เป็นการแต่งตั้งข้ามหัวตุลาการที่มีอาวุโสมากกว่า เรย์ ถึง 3 คน ซึ่งผิดหลักการปฎิบัติที่เคยเป็นมา
ประชาชนเริ่มมองเห็นว่า นางอินทิรา คานธี มีเจตนา ครอบงำระบบตุลาการของอินเดีย ซึ่งเป็นอันตรายต่อความยุติธรรมของประชาชนทั้งประเทศแล้ว

(ภาพของนาย ละลิต นารายัน มิชรา ขึ้นอยู่บนสแตมป์ของอินเดีย เป็นการให้เกีบรติแก่เจ้าตัว – ภาพจากกูเกิ้ล)
นักเรียนในรัฐกุจราฎเริ่มออกมาประท้วงรัฐมนตรีศึกษาฯของรัฐฯว่าไร้ประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน เกิดการลอบสังหารด้วยระเบิดต่อ นาย ละลิต นารายัน มิชรา(LALIT NARAYAN MISHRA)รัฐมนตรีกระทรวงรถไฟจนเสียชีวิต

(นาย จะยาปรากาช นารายัน ในช่วงที่เข้าร่วมการต่อสู้เรียกร้องอิสภาพจากอังกฤษ – ภาพจาก กูเกิ้ล)
มีนาคมปีค.ศ. 1974 นักเรียนจำนวนมาก ภายใต้การนำของนาย จะยาปรากาช นารายัน(JAYAPRAKASH NARAYAN) ซึ่งเป็นผู้ยึดแนวทางการเมืองของมหาตะมะ คานธี (GANDHIAN) และเป็นผู้นำที่ประชาชนให้ความเคารพมาก ได้ออกมาเดินขบวนประท้วงรัฐบาลท้องถิ่นของรัฐพิหาร
เดือนเมษายน ปีเดียวกัน ในเมืองปัตนะ รัฐพิหาร นาย จะยาปรากาช นารายัน เรียกร้องให้นักเรียน ชาวนา และ สหภาพแรงงาน ออกมาร่วมกันเรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นทำการปฎิรูปทางการเมือง และเรียกร้องให้รัฐบาลท้องถิ่นยุบสภา

(จอร์จ เฟอร์นานเดส ขณะออกมาต่อต้านการประกาศภาวะฉุกเฉินของนางอินทิรา คานธี – ภาพจากกูเกิ้ล)
เดือนถัดมา สหภาพแรงงานพนักงานรถไฟ ซึ่งเป็นสหภาพแรงงานที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย นำโดยนาย จอร์จ เฟอร์นานเดส(GEORGE FERNANDES) ประธานสหภาพแรงงาน และ เป็นประธานพรรคการเมือง ชื่อ พรรคสังคมนิยม (SOCIALIST PARTY)ได้ร่วมใจกันออกมาประท้วงพร้อมกันทั่วประเทศ

(โปสเตอร์ตามถนน เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ปีค.ศ. 1975 ของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนนางอินทิรา คานธี แต่อีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้นางลาออก – ภาพโดย RANE PRAKASH / HINDUSTAN TIMES)
แต่ใช่ว่าจะมีแต่กลุ่มผู้ประท้วงนางอินทิรา คานธีเท่านั้น พวกที่สนับสนุนนางก็มีด้วยเช่นกัน ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการปะทะกันอย่างมาก เพราะฐานเสียงจำนวนมากของ คานธี เป็นชาวมุสลิม
รัฐบาลของนางอินทิรา คานธี จึงใช้กองกำลังเข้าปราบปรามการประท้วงครั้งนี้อย่างโหดร้าย และสลายการชุมนุมในเวลาต่อมา รวมทั้งจับกุมพนักงานการรถไฟที่ออกมาประท้วงไปหลายพันคน
รัฐบาลของนางอินทิรา คานธี เริ่มคล้ายกับรัฐบาลอังกฤษสมัยที่ปกครองอินเดียเข้าไปทุกที
สถานการณ์ทุกอย่างบีบบังคับให้นางอินทิรา คานธี ต้องถอยเข้ามุมอย่างไม่มีทางเลี่ยง แต่คราวซวยยังไม่หมดลงแค่นั้น
12 มิถุนายน ปีค.ศ. 1975 ศาลสูงของเมืองอัลลาลาบาด ได้ตัดสินว่า นายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี มีความผิดฐานใช้อำนาจในทางมิชอบในการเลือกตั้งปีค.ศ. 1971 และประกาศให้ การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะ และ ประกาศตัดสินนางอินทิรา คานธีในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลา 6 ปี
นางอินทิรา คานธี ร้องค้านต่อศาลฎีกาของประเทศที่เมืองเดลีทันทีทันควัน ศาลฏีการับฟ้องเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ทำให้นางยังสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปตามที่นางร้องขอ
แต่สถานการณ์รอบด้านก็ยังไม่เอื้อต่อนางอินทิรา เลย แต่ผมจะเลือกเอามาเล่าเฉพาะที่เห็นว่าสำคัญที่สุดเท่านั้น
25 มิถุนายน ปีค.ศ. 1975 หรือ 13 วันหลังจากศาลสูงของเมืองอัลลาลาบาด ตัดสินคดีของนาง นางอินทิรา คานธี ก็ประกาศภาวะฉุกเฉินโดยผ่านทางประธานธิบดี ฟาครุดดิน อาลี อาห์เมด ซึ่งเป็นสมาชิกของพรรคคองเกรสด้วย
จากนั้น ขบวนการจับกุมคุมขังฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองก็เริ่มขึ้น หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต้องให้รัฐบาลเซ็นเซอร์ข่าวเสียก่อนที่จะจะตีพิมพ์ และยังให้ยกเลิกการเลือกตั้งทั้งหมดออกไปก่อนโดยไม่มีกำหนด
อำนาจสูงสุดของอินเดียอยู่ในมือของนายกรัฐมนตรี อินทิรา คานธี เพียงคนเดียว ไม่ต่างอะไรกับ “เผด็จการ” เพราะนางมีอำนาจในการสั่งการกองทัพทุกกองทัพ และ ตำรวจทั่วประเทศ

ทหาร ทั้งประเทศสงบนิ่งเพื่อรอคำสั่งของนางคนเดียว อาจพูดได้ว่า เพราะระเบียบวินัยที่ค้ำคอมาตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนโรงเรียนทหารก็ได้
แล้วทหารจะมีบทบาทอย่างไรบ้าง
รอติดตามอ่านในตอนหน้าครับ