ซอกซอนตะลอนไป (10 ตุลาคม 2564)
จากพิธี รถะ ยาตรา ของฮินดู ย้อนกลับไปสู่พิธีโอเปต ของอียิปต์โบราณ(ตอน5)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
เหตุผลที่ต้องมีเทศกาล ฮันนีมูน หรือ โอเปต ของเทพอามุน-รา กับ มเหสี มุท ก็เพราะ เทพ อามุน-รา ประทับอยู่ที่วิหารคาร์นัค ในขณะที่ เทพีมุท ประทับอยู่ที่วิหารลักซอร์
ทั้งสองวิหารตั้งอยู่ริมแม่น้ำไนล์ในเมืองลัคซอร์ ห่างกันประมาณ 2 กิโลเมตรเศษ (ระยะห่างของวิหารจักกานนาถแห่งปูรี กับวิหารกันดิชา ก็ประมาณ 3 กิโลเมตร) มีถนนศักดิ์สิทธิ์ตัดตรงเชื่อมสองวิหารเข้าด้วยกัน สองข้างถนนดังกล่าวประดับด้วยสฟิงซ์ ทั้งสฟิงซ์หัวคน และ สฟิงซ์หัวแพะ ที่แกะสลักจากหินทรายสีเหลือง (โอกาสหน้า ผมจะเล่าให้ฟังว่า ทำไมเทพอามุน-รา จึงมีศรีษะเป็นแพะ)
เทพอามุน-รา ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดที่ได้รับการเคารพอย่างมากในยุค อาณาจักรกลาง เรื่อยมาจนถึงยุคอาณาจักรใหม่ ส่วนเทพีมุท ได้รับการเคารพในฐานะ “มารดา” คล้ายๆกับแนวคิดเรื่องพระแม่ ต่างๆของอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นพระแม่อุมา พระแม่ปาร์วาตี และ พระแม่สรัสวาตี
เทพทั้งสองมีโอรสองค์หนึ่ง คือ คอนซู(KHONSU) เป็นเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ รวมกันเป็นครอบครัวเทพเจ้า 3 องค์ ตามแนวความคิดของมนุษย์ที่ครอบครัวจะประกอบด้วย พ่อแม่ และ ลูก

(เทพอามุน-รา , เทพีมุท และ เทพ คอนซู)
เลข 3 เป็นตัวเลขที่น่าสนใจมาก เพราะมักจะเชื่อมโยงกับเทพเจ้าของหลายๆศาสนา เช่น ไตรเอกภาพ (TRINITY) ของศาสนาคริสต์ อันประกอบด้วย พระบิดา พระจิต และ พระบุตร หรือ ตรีมูรติ(TRIMURTI) ของศาสนาฮินดู อันประกอบด้วย พระพรหม พระนารายณ์ และ พระศิวะ หรือ ศาสนาพุทธที่ประกอบด้วย พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์

(ตรีมูรติ – พระศิวะ , พระวิษณุ และ พระพรหม – ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
แม้กระทั่ง เทพจักกานนาถ ในขบวนแห่ รถะ ยาตรา ก็ยังปรากฎเป็นเทพ 3 องค์
ด้วยเหตุที่ เทพ อามุน-รา เป็นเทพที่ได้รับการเคารพอย่างมากในยุคอาณาจักรใหม่ เหตุนี้เอง วิหารคาร์นัค ซึ่งเป็นวิหารที่ประทับของเทพอามุน-รา จึงได้รับการบูรณะต่อเติมขยายออกไปเรื่อยๆจนกลายเป็นวิหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพราะฟาโรห์แต่ละพระองค์ต่างก็อยากจะมีส่วนร่วมในการทำบุญสร้างวิหารให้แก่เทพเจ้าที่เขาเคารพ
กระนั้น ก็ยังเป็นวิหารที่ยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์อยู่ดี แม้จนทุกวันนี้

(ภาพมุมสูงของวิหารคาร์นัค จะเห็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ทางด้านซ้าย และบนสุดของภาพก็คือ แม่น้ำไนล์ )
ในส่วนที่เป็นห้องที่ประดิษฐานของเทวรูป (HOLY OF THE HOLY) ของอามุน-รา ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ที่สุด และ น่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างยุคสุดท้าย คือ ในสมัยของอเล็กซานเดอร์ มหาราช เมื่อประมาณ 2 พันกว่าปีที่แล้ว ตอนที่อเล็กซานเดอร์ เข้ายึดครองอียิปต์ในปี 332 ก่อนคริสตกาล บนผนังมีภาพสลักบนหินแกรนิตเป็นเหตุการณ์เรื่องราวของเทศกาลโอเปต

(ภาพแกะสลักในวิหารเอ็ดฟู แสดงการขบวนแห่เรือที่ประทับของเทพโดยบรรดานักบวช ที่คล้ายกันกับภาพในวิหารคาร์นัค )
ภาพดังกล่าวสอดคล้องกันกับภาพสลักบนหินทรายในวิหารลัคซอร์ ที่ระบุว่าเป็นภาพเหตุการณ์ของเทศกาลโอเปตด้วย แต่ปัจจุบันนี้เสียหายมากจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว
รูปสลักดังกล่าวแสดงภาพตอนที่บรรดานักบวช กำลังแบกหามเรือที่ทำด้วยไม้ มีเก๋งปิดมิดชิดอยู่ตรงกลาง สันนิษฐานว่า ภายในเก๋งจะมีรูปสลักที่ทำด้วยทองคำของเทพเจ้าประจำวิหารวางอยู่

(เรือที่ประทับของเทพเจ้าอียิปต์ในตอนเดินทาง ที่ออกุส มาเรียส นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสได้จำลองขึ้นด้วยขนาดเท่าของจริง วางอยู่ในวิหารเอ็ดฟู ส่วนด้านหลังคือ ที่ประทับของเทพเมื่อเทพกลับมาอยู่ในห้องศักดิ์สิทธิ์)
ปกติเรือไม้ลำนี้จะวางอยู่บนแท่นบูชาในห้องศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกว่า HOLY OF THE HOLY เปรียบเทียบได้กับห้อง ครรคฤห ของวิหารฮินดู
แท่นบูชา ดังกล่าวทำด้วยหินแกรนิต หินที่มีคุณภาพดีที่สุดของอียิปตโบราณ เป็นธรรมเนียมในยุคนั้นว่า ของที่จะถวายแด่เทพเจ้าจะต้องเลือกเอาสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ และ ต้องไม่มีตำหนิ
เทพอามุน-รา กับ มเหสี คือ เทพีมุท ประทับอยู่กันคนละวิหาร ทุกปี ปีละครั้ง นักบวชของวิหารดังกล่าว จะจัดพิธีเฉลิมฉลองการกลับมาอยู่ร่วมกันของเทพเจ้าทั้งสอง เรียกว่าพิธี โอเปต หรือ พิธีฮันนีมูน
ขบวนแห่ที่จะมีบรรดานักบวชช่วยกันหามเรือไม้ เคลื่อนไปพร้อมๆกับบรรดาชนชั้นนำของสังคมอียิปต์จำนวนมาก ระหว่างเดินไป ก็จะร้องรำทำเพลงไปด้วย คล้ายๆกับขบวน รถะ ยาตรา ของ เมืองปูรี รัฐโอดิสสา ทีเดียว

(ขบวนแห่ของเทพอามุน-รา จะเดินจากห้องศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในสุด ตรงมาข้างหน้าบนถนนสฟิงซ์ เพื่อตรงไปยังท่าน้ำริมแม่น้ำไนล์)
ตามข้อมูลระบุว่า ขบวนแห่จะเดินออกจากห้องศักดิ์สิทธิ์ ตรงออกไปตามถนนสฟิงซ์ ซึ่งจะนำไปสู่ริมฝั่งด้านตะวันออกของแม่น้ำไนล์ในที่สุด
จากนั้น ก็จะนำเรือที่แบกลงไปไว้ในเรือที่จอดเทียบท่าที่แม่น้ำไนล์ แล้วขบวนก็จะเคลื่อนที่ทวนน้ำไปยังวิหารลักซอร์
ส่วนวิธีที่ชาวอียิปต์โบราณเคลื่อนเรือไปตามแม่น้ำไนล์จะเป็นอย่างไร รอติดตามอ่านในสัปดาห์หน้าครับ

ท่านผู้อ่านสามารถอ่านบทความ “ซอกซอนตะลอนไป” ย้อนหลังทั้งหมด 7 ปี สามารถไปที่ www.whiteelephanttravel.co.th แล้วไปที่ blog “ซอกซอนตะลอนไป” ได้ครับ