ซอกซอนตะลอนไป (26 กรกฎาคม 2563)
“ชีวิตเหมือนฝัน คุณหญิงมณี” จากเด็กไร้บ้าน มาเป็นสะใภ้หลวง(ตอน 28)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
เมื่อการตกลงแบ่งมรดกของสมเด็จวังบูรพาลงตัวเรียบร้อย คุณหญิงมณี ก็ได้รับมรดกในส่วนที่เป็นของพระองค์จิระศักดิ์ อดีตสามีผู้ล่วงลับ
สำหรับท่านที่ต้องการจะอ่านบทความที่ผมเขียนเรื่องนี้ย้อนหลัง เชิญเข้าไปอ่านได้ที่ www.whiteelephanttravel.co.th แล้วไปที่ blog แล้วไปที่ “ซอกซอนตะลอนไป” บทความตอนที่ 1 จะอยู่ที่บล็อค 19 อ่านต่อเรื่อยๆจนถึงตอนที่ 26 ครับ
เรื่องราวมาถึงบทที่ 36 ของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งคุณหญิงเขียนเกี่ยวกับเรื่องการเมือง การยึดอำนาจ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เอาไว้มากทีเดียว
ยุคนี้ อาจถือได้ว่า เป็นยุคเปลี่ยนผ่านของสังคมไทยเลยทีเดียว คุณหญิงได้เขียนเอาไว้ดังนี้
“เป็นที่สังเกตได้ว่า ในประเทศไทยหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง พวกคนจีนหรือลูกคนจีน มักมีหัวการค้า เก่ง ฉลาดปราดเปรื่อง และพวกนี้สามารถตั้งตัวขึ้นมาเป็นเศรษฐีใหม่ของเมืองไทยได้หลายคน ส่วนพวกขุนนางตระกูลเก่า และพวกผู้ดีเก่าซึ่งส่วนมากทำการค้าไม่เป็น ก็กลับกลายเป็นผู้ที่มี ฐานะตกต่ำยากจนไปทุกทีๆ เพราะค่าครองชีพในกรุงเทพ สูงขึ้นเรื่อยๆ”
(กรุงเทพเมื่อปีพ.ศ. 2444 – ไม่ทราบผู้เป็นเจ้าของภาพ ขอแสดงความขอบคุณเอาไว้ ณ.ที่นี้)
คุณหญิงยังได้เล่าต่อถึงวิธีการทำการค้าของคนในยุคนั้นอีกด้วยว่า
“วิธีหากินของพ่อค้าจีนหลังสงครามโลกใหม่ๆ วิธีหนึ่งซึ่งคนไทยพอใจและสนับสนุนมากก็คือ คนไทยที่มีที่ดินมักยอมให้พ่อค้าจีนเอาที่ดินของตนไปทำการก่อสร้างตึกแถว โดยคนจีนจะให้เงินค่าหน้าดินแก่เจ้าของที่ดินก้อนหนึ่ง และเมื่อสร้างตึกแถวเสร็จแล้วก็ยกกรรมสิทธิ์ให้เจ้าของเก็บเงินค่าเช่าจากตึกแถวได้ และมีสัญญาว่า ภายในกำหนด 8 -10 ปี กรรมสิทธิ์ตึกแถวพร้อมที่ดินจะกลับคืนมาเป็นของเจ้าของที่ดินโดยสิ้นเชิง”
เป็นวิธีคิดในการทำการค้าแบบไม่ต้องมีต้นทุนที่เก่งมากทีเดียว แล้วคนจีนที่เป็นคนสร้างห้องแถว เขาจะได้อะไร คุณหญิงได้เขียนต่อว่า
“คนจีนเมื่อปลูกสร้างตึกแถวเสร็จก็เพียงเก็บเงินแป๊ะเจี๊ยะจากตึกแถวเท่านั้น และก็ได้กำไรไปอย่างงดงาม เพราะทางฝ่ายคนจีนจับเสือมือเปล่า ไม่ต้องลงทุนเงินแต่ประการใด เพียงมีการก่อสร้างตึกแบบ 2 ชั้น หรือ 3 ชั้น ก็มีคนจีนมาวางเงินมัดจำเช่าห้องทันที คนจีนนิยมอยู่ตึกแถวเพราะสามารถทำการค้าได้และอยู่อาศัยได้ด้วยพร้อมๆกัน”
นั่นน่าจะเป็นเหตุการณ์ก่อนปีพ.ศ. 2500 เล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับวิถีชีวิตของคนไทยในปัจจุบันนี้ ก็จะเห็นความแตกต่างเยอะมากทีเดียว
(กรุงเทพเมื่อปีพ.ศ. 2498 – ไม่ทราบชื่อเจ้าของภาพ ขอขอบคุณเอาไว้ณ.ที่นี้)
หลังจากกลับมาจากประเทศอังกฤษ ช่วงนี้ ชีวิตของคุณหญิงเป็นไปอย่างสบายๆอย่างมากตามแบบคนชั้นสูงในสังคมยุคนั้น ตอนนั้น คุณหญิงและพระองค์อาภัส สามี ได้มาเช่าบ้านในซอยไปดีมาดี ลูกๆเข้าเรียนโรงเรียนคริสเตียนวิทยาลัย และ มาแตร์ฯ
ชีวิตของคุณหญิงเริ่มจะเข้าที่เข้าทาง เริ่มจะคุ้นเคยกับชีวิตในเมืองไทย เพราะเธอจากเมืองไทยไปนานกว่า 10 ปี และ มีความสุขตามแบบฉบับของคนชั้นสูง
คุณหญิงเขียนเอาไว้ว่า
“เราได้สนิทสนมพบปะเพื่อนบ้านของเราในซอยเดียวกัน คือ มจ.คัสตาวัส และ พระชายา ไม่เว้นแต่ละวัน และได้พบปะสังสรรค์รับประทานอาหารตามบ้านเพื่อนฝูงต่างๆ เล่นกีฬาทั้งในร่มและกลางแจ้งด้วยกัน สนุกสนานร่าเริงและแจ่มใสทุกวัน …………และในวันสุดสัปดาห์ก็มีการเลี้ยงกันที่บ้านเป็นประจำ พระองค์อาภัสได้ไปเช่าภาพยนตร์จากสำนักข่าวยูซิส ……..ซึ่งท่านได้มาฉายให้เพื่อนฝูงชมกันที่บ้านหลายเรื่อง………………ทุกสุดสัปดาห์เราก็มีเพื่อนฝูงมารับประทานข้าว เล่นแบดมินตันกันตั้งแต่เช้า และตอนบ่ายก็ตั้งวงเล่นไพ่บริดจ์ หรือ ไพ่โปกเกอร์ เป็นต้น”
ทำให้ผมนึกถึงภาพยนต์เรื่อง THE GREAT GATSBY ขึ้นมาทันที
“และในเดือนๆหนึ่งเราได้รับเชิญไปงานสังคมนอกบ้าน ที่มีการลีลาศไม่น้อยกว่า 2 ครั้งเสมอ เราไปเที่ยวด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ไม่ต่ำกว่า 10 คู่ และก็ออกเต้นรำกันทุกคู่จนงานเลิก และตอนดึกก่อนกลับบ้าน ก็ต้องแวะไปรับประทานข้าวต้มกันที่ราชวงศ์หรือเยาวราช กว่าจะถึงบ้านก็ตีสองตีสามเสมอ”
ทำให้ผมนึกไปถึงนิยายอมตะเรื่อง “พล นิกร กิมหงวน” ของ ป.อินทรปาลิต อีกเล่มหนึ่ง
ดูเหมือนทางเดินบนถนนชีวิตของคุณหญิงมณี จะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่บังเอิญ ดวงชะตาของคุณหญิงเป็นดวงที่ผกผัน และคุณหญิง ก็มีแนวคิดที่แตกต่างออกไปจากคนชั้นสูงในยุคนั้นพอสมควร
แตกต่างอย่างไร รอติดตามในตอนต่อไปครับ