ซอกซอนตะลอนไป (5 สิงหาคม 2561 )
คนจีนมาเที่ยวไทย ประเทศได้อะไร(ตอน1)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
เมื่อหลายวันก่อน ผมเดินทางด้วยการบินอียิปต์แอร์จากไคโรกลับกรุงเทพ เมื่อเครื่องลงจอด ผู้โดยสารลุกขึ้นเดินออกจากเครื่องบิน ผมเห็นผู้โดยสารหนุ่มสาวคู่หนึ่ง แต่งกายค่อนข้างปอนๆ คือ นุ่งกางเกงขาสั้น ผู้ชายสวมเสื้อกล้าม ฝ่ายหญิงสวมเสื้อมีแขน ผ้าค่อนข้างบางเพราะผ่านการซักมานาน ไม่มีอะไรสะดุดตา
ที่สะดุดตาก็คือ สิ่งที่ฝ่ายหญิงถือในมือก็คือ คู่มือท่องเที่ยวที่มีชื่อบนหน้าปกว่า THAILAND พวกเธอคงจะตั้งใจมาเห็นประเทศไทยให้ทั่วๆอย่างแท้จริง
ทั้งสองน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวประเภท “แบ๊กแพ็ค” ที่พักตามโรงแรมถูกๆแถวถนนข้าวสาร กินอาหารถูกๆเท่าที่จะหาได้ เช่น ผัดไทย หรือ ข้าวผัดจานละ 25 บาท เดินทางไปไหนมาไหนก็มักจะใช้รถเมล์ หรือไม่ก็เดินเท้าเป็นหลัก
นักท่องเที่ยวพวกนี้ จะใช้เงินไม่เกินวันละ 1 พันบาท หรือบางคนก็อาจจะไม่เกิน 5 ร้อยบาทด้วยซ้ำ
เป็นนักท่องเที่ยวที่มองกันว่า ไม่ค่อยน่าสนใจนัก เพราะใช้จ่ายต่อหัวค่อนข้างต่ำ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงต้องการจะเน้นไปยังนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายสูงกว่า
ดูเหมือนว่า นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนจะเป็นคำตอบ ทั้งในแง่ปริมาณ และ การใช้จ่ายต่อหัว แต่จะจริงหรือไม่ ยังเป็นที่คลางแคลงใจ
จนกระทั่งมีข่าวเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญ , ข่าวเรือท่องเที่ยวจมที่ภูเก็ต โดยที่ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน และ การเป็นนอมินีในการทำธุรกิจทัวร์ในประเทศไทย ซึ่งหลายฝ่ายต่างก็เป็นกังวลว่า แท้ที่จริงแล้ว แม้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาอย่างมากมายถล่มทลายทุกวันนี้ ประเทศไทย และ คนไทยได้รับผลประโยชน์จริงๆสักแค่ไหน
ผมได้รับข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจเกี่ยวกับการทำทัวร์กรุ๊ปของจีน จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังว่า ประเทศไทยได้อะไรจากทัวร์จีนบ้าง
ก่อนอื่น ทำไมถึงมีกรุ๊ปทัวร์จีนมาเที่ยวไทยจำนวนมากมายมหาศาลเช่นนี้
สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการคมนาคมภายในประเทศจีน อย่างที่ใครก็คาดไม่ถึง ทั้งนี้เพราะความเจริญก้าวหน้าในทางเทคโนโลยี่แบบก้าวกระโดดของจีนนั่นเอง
ทุกวันนี้ แม้แต่เมืองคุนหมิง ของมณฑลยูนนาน ซึ่งไม่ได้เป็นเมืองใหญ่อะไรนัก ประชาชนสามารถหยิบฉวยจักรยานที่จอดอยู่บนฟุตบาท แล้วเอาไปขับขี่ได้ด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อปลดล็อค เมื่อขี่ไปถึงที่ใดก็สามารถจอดทิ้งเอาไว้ตรงนั้นได้ โดยไม่ต้องเอามาคืนที่จุดเดิม
ค่าบริการเพียงชั่วโมงละ 1 หยวน หรือ ประมาณ 5 บาทเท่านั้น ซึ่งจ่ายด้วยระบบการเงินอีเล็กโทรนิค แบบคิวอาร์โค้ด
เมื่อมีธุรกิจแบบนี้ ก็ย่อมทำให้ธุรกิจรถเมล์ และ รถแท็กซี่มีผลกระทบทันที
การจ่ายเงินด้วยระบบอีเล็กโทรนิคนี้ แพร่หลายออกไปมากมาย แม้กระทั่งข้าวแกงริมถนน หรือ แม้แต่ร้านขายเต้าหู้ปิ้ง ก็ยังสามารถจ่ายเงินด้วยระบบนี้
แน่นอนว่า ธุรกิจอีกชนิดหนึ่งที่จะเสื่อมถอยในอนาคตอันใกล้ก็คือ ธนาคาร
อีกนวตกรรมหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันรุนแรงในประเทศจีนก็คือ รถไฟความเร็วสูง ระหว่างเมืองใหญ่ๆ
ก่อนหน้านี้ หากจะเดินทางด้วยเครื่องบินจากเมืองเฉินตู สู่คุนหมิง จะใช้เวลาบินประมาณ 1ชั่วโมง 15 นาที แต่ต้องไปเช็คอินก่อนหน้าประมาณ 2 ชั่วโมง ใช้เวลาเดินทางจากบ้านไปสนามบินอีก 1 ชั่วโมง และใช้เวลาเดินทางจากสนามบินกลับเข้าไปในเมืองเมื่อถึงปลายทางอีก 1 ชั่วโมง รวมเบ็ดเสร็จก็ใช้เวลาอย่างน้อย 5 ชั่วโมงเศษเป็นอย่างน้อย
นี่ยังไม่นับถึงว่า หากเครื่องบินเสียเวลาอีก
แต่หากนั่งรถไฟความเร็วสูงก็จะใช้เวลาเพียง 6 ชั่วโมง และไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปและกลับจากสนามบิน เพราะสถานีรถไฟส่วนใหญ่จะอยู่ในเมือง
สนนราคาของค่าตั๋วเครื่องบินจะอยู่ที่ประมาณ 500 – 800 หยวน หรือ มากกว่านี้ในช่วงที่ผู้คนเดินทางมากเป็นพิเศษ
ในขณะที่ราคาตั๋วรถไฟความเร็วสูงอยู่ที่ 468 หยวนเท่านั้น
นี่คือภาพของการแข่งขันกันของสายการบิน กับ รถไฟความเร็วสูงระหว่างเมืองตามเส้นทางอื่นๆ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางโจว เป็นต้น
ทำให้ธุรกิจสายการบินที่ช่วงหนึ่งเคยเฟื่องฟู เพราะชาวจีนต้องใช้มากเป็นพิเศษในช่วงเทศกาล และในช่วงอื่นๆ เพราะประเทศจีนกว้างใหญ่ไพศาลมาก
แล้วสายการบินเหล่านี้ จะทำอย่างไร
ก็ไปบินต่างประเทศซิครับ
ท่านผู้อ่านคงไม่ทราบว่า ขณะนี้มีสายการบินเฉพาะที่บินไปกลับจากคุนหมิง มายังกรุงเทพ มีมากถึงวันละ 8 เที่ยว คิดเคร่าๆก็ประมาณ 1700 คนต่อวัน แต่เป็นสายการบินไทยเพียงเที่ยวเดียว
ทัวร์ศูนย์เหรียญที่ทำกันมานาน ก็ได้อานิสงฆ์จากจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นในการต่อยอด
แล้วธุรกิจทัวร์ศูนย์เหรียญจะไปอย่างไรต่อ พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ