ซอกซอนตะลอนไป (22 เมษายน 2559 )
กษัตริย์ลุดวิก ที่ 2 แห่งบาวาเรีย(ตอน 3)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ในบรรดา 3 พระราชวังที่เป็นผลงานของ พระเจ้าลุดวิก ที่ 2 แห่งบาวาเรีย นั้น มีเพียงแห่งเดียวที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ และ พระองค์เคยประทับด้วย คือ พระราชวังลินเดอร์ฮอฟ
ในทัศนะของผม ลินเดอร์ฮอฟ เป็นพระราชวังที่น่าอยู่ที่สุด และ มีความเป็น “บ้าน” มากที่สุด
พระราชวังหลังนี้ สร้างในรูปแบบศิลปะบารอค – ร๊อคโคโค ตามแบบของพระราชวังแวร์ซาย ของฝรั่งเศส ที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (LOUIS XIV) ได้ริเริ่มสร้างเอาไว้ จนเป็นการเปิดศักราชของการสร้างพระราชวังแนวใหม่ของยุโรป และ ของโลก
แม้ว่า ตอนที่พระเจ้าลุดวิก ที่ 2 ประสูตินั้น พระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 ผู้ยิ่งใหญ่มีฉายาว่า “สุริยะกษัตริย์” (SUN KING) จะสิ้นพระชนม์ไปแล้วร้อยปีเศษก็ตาม กล่าวคือ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สิ้นพระชนม์ในปีค.ศ. 1715 ขณะที่พระเจ้าลุดวิก ที่ 2 ประสูติเมื่อปีค.ศ. 1845
แต่ด้วยเหตุผลหลายประการ ทำให้พระเจ้าลุดวิก ที่ 2 ทรงให้ความเคารพนับถือพระองค์เป็นบุคคลที่เป็นแบบอย่างในชีวิตทีเดียว
ซึ่งหากมองด้วยมุมมองของคนในยุคปัจจุบันนี้ ก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลก ที่กษัตริย์ของประเทศหนึ่ง จะยกย่องเทิดทูนกษัตริย์ของอีกประเทศเป็นต้นแบบของตัวเอง
แต่ขณะนั้น ความรู้สึก หรือ สำนึกในการเป็น “ชาติ” หรือ “ประเทศ” ไม่ว่าจะเป็นประเทศเยอรมัน หรือ ประเทศฝรั่งเศส ยังไม่เกิดขึ้น และเวลานั้นเอง ประเทศเยอรมันยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นเพียงแคว้นต่างๆที่รวมตัวกันอย่างหลวมๆเท่านั้น
จึงไม่ยุติธรรมนักที่เราจะเอาจริยธรรมของยุคปัจจุบัน ไปตัดสินการกระทำของคนสมัยก่อน
บางครั้ง การกระทำที่คนในยุคอดีตรู้สึกว่าไม่ดี แต่เมื่อมาถึงอีกยุคหนึ่ง กลับกลายเป็นดีก็มีมากมาย
อย่างที่ผมได้พูดไปแล้วว่า พระเจ้าลุดวิก ที่ 2 เป็นกษัตริย์จากตระกูลวิทเทลสบาค แห่ง บาวาเรีย ซึ่งลูกหลานที่สืบทอดจากตระกูลของท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
ในอดีต เมื่อผลงานพระราชวังต่างๆเหล่านี้เป็นของตระกูลวิทเทลสบาค ก็น่าจะตกเป็นของลูกหลานของตระกูลนี้ในปัจจุบันเช่นกัน
แต่ไม่ใช่
พระราชวังต่างๆเหล่านี้ ถูกยึดเข้ามาเป็นรัฐแห่งแคว้นบาวาเรียมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หลังจากนั้น ก็มีการเจรจาต่อรองเพื่อของทรัพย์สินเหล่านี้คืนให้แก่ทายาทของตระกูลวิทเทลส์บาค
หลังจากเจรจาต่อรองกัน ทางรัฐก็ยอมคืนสมบัติบางส่วนให้ โดยให้ทายาทตระกูลวิทเทลส์บาค เลือกเอาระหว่างปราสาท 2 หลังคือ ปราสาทโฮเฮนชวางเกา และ ปราสาทนอยชวานสไตน์ ว่าจะเอาปราสาทอะไร
ก่อนอื่นต้องทราบว่า ปราสาทโฮเฮนชวางเกา นั้นเป็นปราสาทเก่า ที่พระเจ้าลุดวิกที่ 2 เคยใช้ชีวิตที่นี่ในสมัยเด็ก อยู่สูงไม่มากนัก ประมาณตึก 5- 6 ชั้น และอยู่ตรงบริเวณทางขึ้นปราสาทนอยชวานสไตน์
ในขณะที่ปราสาทนอยชวานสไตน์ ตั้งอยู่บนระดับความสูงประมาณ 800 เมตร และที่สำคัญก็คือ ปราสาทนอยชวานสไตน์ ยังสร้างไม่เสร็จ
ในที่สุด ทายาทตระกูลวิทเทลส์บาค ก็เลือกเอา ปราสาทโฮเฮนชวางเกา
เดาเอาว่า ปราสาทนอยชวานสไตน์ อาจจะอยู่สูงเกินไปในสายตาของคนในยุคเมื่อ 50 – 60 ปีที่แล้ว ซ้ำถนนที่ขึ้นไปบนปราสาทก็คงจะไม่อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ รวมทั้งภายในตัวปราสาทเองก็ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี
หากเลือกเอาปราสาทแห่งนี้ ก็จะต้องลงเงินอีกจำนวนมากในการซ่อมแซมถนนหนทาง และ บูรณะปราสาทขึ้นมาใหม่ กว่าจะใช้งานได้
ผิดกันกับปราสาทโฮเฮนชวางเกา ที่สมบูรณ์พร้อมเกือบทุกอย่าง
ไม่มีใครรู้ว่า การตัดสินใจเลือกปราสาทหลังใดหลังหนึ่งในวันนั้น เป็นการตัดสินใจที่ผิด หรือ ถูก แต่ด้วยสายตาของคนในวันนี้ ย่อมมองเห็นว่า ทายาทของวิทเทลสบาค ควรจะเลือกปราสาทนอยชวานสไตน์ จะดีกว่า
เพราะวันนี้ ปราสาทนอยชวานสไตน์ มีรายได้จากค่าบัตรผ่านประตูเพียงอย่างเดียว ก็มากกว่ารายได้ทั้งหมดจากนักท่องเที่ยวของปราสาทโฮเฮนชวางเกา นับเป็นหลายร้อยหลายพันเท่า
ยังไม่นับรวมรายได้จากการขายหนังสือ และ การขายของที่ระลึก อีกต่างหาก
น่าเสียดายว่า ทุกวันนี้ รายได้ของปราสาทนอยชวานสไตน์ ตกเป็นของรัฐบาวาเรีย แต่รายได้ของปราสาทโฮเฮนชวางเกา เป็นของตระกูลวิทเทลสบาค
หากพระเจ้าลุดวิก ที่ 2 จะทราบเหตุการณ์ความเป็นไปในวันนี้ได้ พระองค์จะรู้สึกอย่างไร
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ