ซอกซอนตะลอนไป (25 มีนาคม 2559 )
“ชีวิตเหมือนฝัน คุณหญิงมณี”จากเด็กไร้บ้าน มาเป็นสะใภ้หลวง(ตอน 20)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
จังหวะชีวิตของมนุษย์แต่ละคน จักหานักเขียน หรือ นักวางพล๊อตเรื่องที่เก่งที่สุดมาเขียน ก็ยากที่จะเขียนได้ดีเท่านี้
สิ่งหนึ่งที่หม่อมมณี ก็อาจจะไม่มีรู้มาก่อนก็คือ หลังจากที่สมเด็จเจ้าฟ้าภาณุรังสี ทิวงคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ก็ทรงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าหน้าแบ่งทรัพย์สินต่างๆที่อยู่ในวังบูรพา (ในส่วนที่เป็นสังหาริมทรัพย์) ออกเป็น 7 ส่วนเท่าๆกัน ให้แก่ทายาททั้ง 7 (อ่านรายชื่อทายาททั้ง 7 ในตอนก่อนหน้านี้)
ทายาททั้ง 6 ต่างก็ได้รับส่วนของตัวเองไปแล้ว ยกเว้นของพระองค์จิรศักดิ์ เพราะตอนนั้นพระองค์จิรศักดิ์ กำลังศึกษาอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งรัชกาลที่ 7 ได้รับสั่งให้พระคลังข้างที่เก็บรักษาเอาไว้ เพื่อให้พระองค์จิรศักดิ์มารับไปในโอกาสต่อไป
เมื่อหม่อมมณี เดินทางถึงกรุงเทพ ศาลก็แต่งตั้งให้เธอเป็นผู้จัดการมรดกในส่วนของพระองค์จิรศักดิ์ จากนั้น หม่อมมณี พร้อมด้วยพระองค์อาภัส ก็เดินทางไปตรวจดูทรัพย์สินต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องลายคราม และ เพชรนิลจินดา
แม้ว่าจะมีบางรายการสูญหายไปบ้าง หม่อมมณี ก็ยอมเซนต์รับของเอาไว้ตามคำแนะนำของผู้อำนวยการพระคลังข้างที่
พระองค์อาภัส บ่นรู้สึกเสียดายที่ รูปหล่อแพะทองคำที่ท่านได้รับมรดกไปก่อนหน้านี้ ท่านได้ขายไปแล้วตั้งแต่ตอนที่ประทับอยู่ในอังกฤษ เพราะของที่สวยงามและมีชิ้นเดียวในโลกชิ้นนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว
ไม่ทราบว่า ตอนนี้อยู่กับใคร
สิ่งหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ที่ผมชอบมากก็คือ คุณหญิงมณี มักจะให้รายละเอียดบรรยากาศของบ้านเมืองในเวลานั้นๆอย่างละเอียด และมีแง่มุมแนวคิดค่อนข้างดี คุณหญิงเขียนเอาไว้ว่า
“ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (พ่อค้าจีน) กลับมามีฐานะร่ำรวยขึ้นทุกที วิธีหากินของพ่อค้าจีนหลังสงครามโลกใหม่ๆวิธีหนึ่งซึ่งคนไทยพอใจและสนับสนุนมากก็คือ……ยอมให้พ่อค้าจีนเอาที่ตินของตนไปทำการก่อสร้างตึกแถว โดยคนจีนจะให้เงินค่าหน้าดินแก่เจ้าของที่ดินก้อนหนึ่ง และเมื่อสร้างตึกแถวเสร็จแล้ว ก็ยกกรรมสิทธิ์ให้เจ้าของเก็บเงินค่าเช่าจากตึกแถวได้ และมีสัญญาว่า ภายในกำหนด 8 – 10 ปี กรรมสิทธิ์ตึกแถวพร้อมที่ดิน จะกลับคืนมาเป็นของเจ้าของที่ดินโดยสิ้นเชิง”
แล้วพ่อค้าคนจีนจะได้อะไร
พ่อค้าเหล่านี้จะได้เงินที่เรียกว่า “แป๊ะเจี๊ยะ” หรือ “เงินกินเปล่า” จากจากผู้เช่าตึกแถวเท่านั้น ซึ่งก็ทำให้ได้กำไรอย่างงดงาม เป็นการจับเสือมือเปล่าที่ให้ผลตอบแทนที่งดงาม ในขณะที่เจ้าของที่ดินก็ไม่รู้สึกว่า ตนเองสูญเสียอะไร
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีผู้คนจำนวนมากที่กลัวภัยสงครามยอมขายที่ดินในราคาถูกๆ เพื่ออพยพออกไปอยู่นอกกรุงเทพ เมื่อสงครามสงบ ราคาที่ดินก็กลับพุ่งขึ้นหลายสิบเท่า
พวกเศรษฐีที่มีที่ดินก็ชอบที่จะปลูกบ้านให้ฝรั่งเช่า ส่วนคนไทยที่มีเงินเหลือใช้ ก็มักจะหารายได้ด้วยการปล่อยเงินกู้ให้พ่อค้าคนจีน สมัยนั้นกฎหมายกำหนดให้เรียกดอกเบี้ยเงินกู้ได้ไม่เกินร้อยละ 1.5 เท่านั้น แต่พ่อค้าคนจีนยอมให้ดอกเบี้ยถึง 2 เปอร์เซ็นต์
นั่นคือเมื่อประมาณหลังปีพ.ศ. 2490 เล็กน้อย
อันที่จริง ห้องแถว น่าจะเริ่มมีในประเทศไทยมาตั้งแต่ในรัชกาลที่ 5 แต่พ่อค้าคนจีนเริ่มจะคิดวิธีทำธุรกิจแบบนี้ในช่วงปีพ.ศ. 2490 เป็นต้นมา ทำให้ธุรกิจห้องแถวเฟื่องฟู
คุณหญิงมณี ยังได้เขียนเอาไว้ว่า
“ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จึงเห็นประจักษ์ชัดเจนว่า อิทธิพลของประเทศในยุโรป โดยเฉพาะประเทศอังกฤษ……ได้เสื่อมทรามลงไปจนแทบไม่เหลืออยู่เลย แต่ความนิยมสิ่งของทุกๆอย่างที่มาจากสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ”
คุณหญิงมณี ยังได้เขียนว่า
“สังคมผู้ดีชั้นสูงในเมืองไทยได้เปลี่ยนแปลงไป สมัยก่อนนั้นบรรดาเจ้านายพวกขุนนางตระกูลเก่าๆ เป็นผู้มีอิทธิพล ซึ่งทุกคนย่อมต้องเกรงใจ และเคารพนับถือ แต่มาบัดนี้ ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว พวกที่มีบทบาทสำคัญ และมีชื่อเสียงคือพวกพ่อค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกจีน”
หลังจากอาศัยอยู่ในตำหนักของพระองค์หญิงรำไพ นานพอสมควร หม่อมมณีก็ย้ายออกมาเช่าบ้านที่ตรอกไปดีมาดี ลูกๆทั้งสามต่างก็แยกย้ายไปเข้าเรียนในโรงเรียนต่างๆ
เดชนศักดิ์ เข้าโรงเรียนคริสเตียนวิทยาลัย ส่วนทินศักดิ์ และ ลูกสาวอรมณีก็ไปเข้าโรงเรียนมาแตร์เดอี ทุกเช้า หม่อมมณี จะนั่งรถยนต์ ที่พระองค์อาภัส ขับไปส่งลูกๆไปโรงเรียนทุกวัน
ชีวิตของหม่อมมณี ในเมืองไทยดูเหมือนจะเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น เข้ากับสังคมเมืองไทยได้มากขึ้น ได้พบปะสังสรรค์รับประทานอาหารที่บ้านเพื่อนฝูงมากขึ้น วันสุดสัปดาห์ก็มีงานเลี้ยงที่บ้านกันเป็นประจำ ดูหนังที่เช่ามาจากยูซิส(USIS) หรือ สำนักข่าวสารเมริกัน
หม่อมมณี ยังได้สร้างคอร์ต แบดมินตันไว้ภายในบ้าน สำหรับเพื่อนๆมาเล่นกันในวันสุดสัปดาห์ และยังมีการเล่นไพ่บริดจ์ หรือ ไพ่โป๊กเกอร์
แต่ละเดือนก็มักจะได้รับเชิญไปงานสังคมนอกบ้านที่มีงานลีลาศไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง และมักจะไปกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆไม่ต่ำกว่า 10 คู่ขึ้นไป จะออกไปเต้นรำกันทุกคู่จนงานเลิก ตอนดึกก่อนกลับบ้านก็ต้องแวะรับประทานข้าวต้มที่ราชวงศ์ หรือ เยาวราช กว่าจะกลับถึงบ้านก็ตีสองตีสามเสมอ
ใครเคยอ่านหนังสือนิยาย “พล นิกร กิมหงวน” ของ ป.อินทรปาลิต ก็จะเห็นว่า ป.อินทรปาลิต ได้ดึงเอาชีวิตของไฮโซยุคนั้นมาเป็นเค้าโครงในการเขียนนิยายเรื่องนี้
ชีวิตแบบนี้ แม้จะมีความสุขเพราะวันๆไม่ต้องทำอะไร แต่หม่อมมณี เริ่มรู้สึกไม่พอใจ เพราะไม่ตรงกับอุดมคติของเธอตั้งแต่สมัยที่เรียกอ๊อกซ์ฟอร์ด
มารี เพื่อนสนิทเคยบอกกับหม่อมมณีก่อนที่จะแต่งงานกับ พระองค์จิรศักดิ์ว่า อย่าลืมตัวจนกลายเป็นพวกเศรษฐีขี้คร้าน(THE IDLE RICH)
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ
(เชิญติดตามอ่านบทความ ดูดวงออนไลน์ ที่ผมเขียนใน แนวหน้าดอทคอม นี้ด้วย ในนามปากกา “ธรรมาธิปติ”)