ซอกซอนตะลอนไป (31 ตุลาคม 2557)
การบินไทย สายการบินแห่งชาติ(อะไร)(ตอน 1)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ประเทศไทยมีนโยบาย “ครัวไทย ไป ครัวโลก” มานานหลายปีดีดักแล้ว แต่ก็ไม่เห็นรัฐบาลไหนสามารถทำนโยบายให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาได้เลยแม้แต่รัฐบาลเดียว
ทั้งๆที่เครื่องไม้เครื่องมือของรัฐบาลก็มีออกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สายการบินไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ดีเลิศในการเผยแพร่นโยบายนี้
แต่การบินไทย ในฐานะของ “สายการบินแห่งชาติไทย” ก็ไม่ได้แสดงศักยภาพ และ ตัวตนของครัวไทย ให้ปรากฏแก่ชาวโลกเลย
ผมเคยใช้สายการบิน เจ็ทแอร์ ของอินเดียบินระหว่างเมืองออรังกาบาด กับ มุมไบ มื้อเย็นวันนั้น เขาเสริฟไก่ย่างทันดูรี โรตี ดาล(ซึ่งก็คือถั่วต้มคล้ายซุปข้น)ใส่ถ้วยเล็กๆ และของหวานอีกอย่าง
ผมไม่คิดว่าเขาจะหาญกล้าเสริฟอาหารอินเดียแท้ๆบนเครื่องบิน ทั้งๆที่มีผู้โดยสารที่เป็นคนต่างชาติมากมาย ทั้งชาวเอเชีย และ ยุโรปอยู่บนเครื่องบิน
แต่ดูเหมือนว่า ทุกคนก็อร่อยกับอาหารมื้อนั้นกันดี
สายการบินอีว่า แอร์ (EVA AIR) ซึ่งเป็นสายการบินของเอกชนของไต้หวัน ได้รับคำชมเชยจากผู้โดยสารอย่างมาก ทั้งในฐานะเป็นผู้คิดค้นชั้นโดยสารพิเศษที่เรียกว่า อีโคโนมี ดีลักซ์(ECOMONY DELUXE) เป็นที่นั่งที่สบายกว่าชั้นประหยัด เอนนอนได้มากกว่า มีที่ว่างของขาได้มากกว่า
แต่ก็ยังไม่เท่ากับความสะดวกสบายของที่นั่งชั้นธุรกิจ
ทำให้ผู้โดยสารแห่กันมาจองตั๋วชั้นอีโคโนมี ดีลักซ์ กันอย่างทะลักทลาย จนที่นั่งชั้นอีโคโนมี ดีลักซ์ เต็มก่อนชั้นประหยัดด้วยซ้ำ ทั้งๆที่ราคาแพงว่าชั้นประหยัดหลายพันบาท
จุดเด่นของสายการบินอีว่า คือ เขาเสริฟอาหารเช้าเป็นข้าวต้มบนเครื่องบิน ซึ่งเข้าใจว่า เขาพยายามจะสื่อความหมายของอาหารประจำชาติของเขา ทั้งๆที่มีผู้โดยสารยุโรปหลายคนบ่นเรื่องอาหารมื้อนี้
นอกจากนี้ การบริการของพนักงานต้อนรับก็อ่อนน้อม เรียบร้อย ครบถ้วนอย่างดียิ่งจนกระทั่ง ตอนที่เครื่องบินมาถึงจุดหมายปลายทาง เจ้าหน้าที่ต้อนรับทุกคนจะมายืนด้านหน้าเครื่องบิน เพื่อโค้งคำนับขอบคุณผู้โดยสาร และผู้โดยสารก็ปรบมือให้แก่พนักงานต้อนรับ
เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกที่ผู้โดยสารปรบมือให้พนักงานต้อนรับก็ครั้งนี้
ในทางกลับกัน ดูเหมือนว่า การบินไทย ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติ (NATIONAL CARRIER) กลับไม่กล้าที่จะแสดงความเป็นไทย ผ่านทางอาหารที่เสริฟบนเครื่องเลย
เมื่อตอนที่ผมบินไปเมืองเซี่ยะเหมิน ของประเทศจีน เจ้าหน้าที่ถามว่าผมจะเลือกทานอะไร ผมเลือกเมนูหมู ซึ่งก็ไม่ทราบว่า เขาจะปรุงอย่างไร
เปิดกล่องอาหารขึ้นมา ถึงกับอื้งกิมกี่จริงๆ
ออร์เดิฟ ก็คือ เส้นสปาเก็ตตี้ คลุกกับ ชีส เข้าใจว่าเป็นอาหารอิตาเลี่ยน
ในกล่องอาหารร้อนแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกขวาสุดก็คือ เนื้อหมู่หั่นเป็นก้อน 2 ชิ้นเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่าเหรียญ 10 บาทเล็กน้อย ย่างหรือต้มแล้วราดด้วยซ้อสหวานๆ บอกไม่ถูกว่าเป็นอาหารของชาติไหน
ช่องตรงกลางก็คือ ข้าวสวย ที่หอมน่าทาน
ส่วนช่องซ้ายสุด ผมเคยถามหลายคนให้เดาว่า ในช่องที่ว่านี้ สายการบินไทยควรจะเสริฟอะไร ขนาดบอกใบ้ให้แล้วว่า เป็นผัก ไม่มีใครตอบถูกแม้แต่คนเดียว
ท่านผู้อ่านลองเดาดูนะครับ อย่างเพิ่งมองลงไปข้างล่าง ว่าในช่องที่ว่านี้ จะเป็นผักชนิดใด
ติ๊กต๊อก ๆๆๆๆๆๆ
เฉลย คำตอบก็คือ หัวไช่โป้วเส้น ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ เสียดายว่า ผมไม่ได้ถ่ายรูปเอาไว้
ผมไม่เข้าใจกับหลักคิดของ แผนกครัวของการบินไทยจริงๆว่า เขาต้องการจะเสริฟอาหารประจำชาติอะไร
ใครมีความรู้เรื่องอาหารช่วยบอกทีนะครับ
แต่ที่น่าทึ่ง และเป็นการตบหน้าสายการบินไทยฉาดใหญ่ก็คือ คราวที่ผมนั่งเครื่องของสายการบิน ดรุ๊กแอร์ ซึ่งเป้นสายการบินแห่งชาติของภูฎาน จากเมืองพาโร กลับกรุงเทพเมื่อ 2 เดือนก่อน คิดไม่ถึงว่า สายการบินของภูฎานจะเสริฟเมนูนี้
เขาเสริฟ ข้าว และ แกงเขียวหวานไก่ครับ
และแกงเขียวหวานที่เขาเสริฟ ก็ไม่ใช่ใส่ปนกันมากับข้าวสวยในถาดเดียวกัน จนเละเทะไปหมด แต่เขาแยกใส่ในภาชนะเป็นถ้วยต่างหากออกมา เหมือนเรานั่งทานข้าวที่บ้านแล้วตักแกงออกมาจากถ้วย
ไม่ใช่ ข้าวราดแกงริมถนน แบบที่สายการบินไทยเสริฟลูกค้า
ผมคุยกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหลายคนเกี่ยวกับเรื่องอาหาร ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ได้รับการต่อว่ามาเยอะ และยังขอร้องให้ผมช่วยเขียนคำแนะนำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารด้วย
ผมเชื่อว่า ผมไม่ใช่คนแรกที่เขียนคำชี้แนะให้ การบินไทย สายการบินแห่งชาติ ที่ไม่ค่อยสนใจจะสร้างความเป็นไทยให้โดดเด่นในด้านบริการบนเครื่องบิน ทั้งๆที่เป็นการบินไทย เป็น สายการบินแห่งชาติ
ที่เห็นแสดงความเป็นไทย ก็คงจะเป็นแค่ชุดเครื่องแบบของพนักงานต้อนรับบนเครื่องเท่านั้น
ตอนหน้าผมจะพูดถึงเรื่องการบริการบนเครื่องบินครับ