ซอกซอนตะลอนไป (19 กันยายน 2557)
ยุทธนาวีครั้งสุดท้ายของมาร์ก แอนโทนี และ คลีโอพัตรา(ตอน 3)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
แรกเริ่มเดิมที ชาวโรมันเป็นพวกที่เก่งกาจในการรบทางภาคพื้นดิน เสมือนฟ้าให้ชาวโรมันเกิดมาเพื่อเป็นทหารบก
แต่เมื่อพวกโรมันเริ่มทำสงครามกับอาณาจักรคาร์เธจ(CARTHAGE) ที่เรียกว่า “สงครามพิวนิคครั้งที่ 1” ในช่วงปี 264 ถึงปี 241 ก่อนคริสตกาลนั้น โรมันต้องมาพบกับชาวคาร์เธจที่เป็นนักรบที่มีความเชี่ยวชาญในการรบทางท้องทะเลเป็นพิเศษ
ก่อนอื่น ขอชี้ให้ท่านผู้อ่านได้เห็นเสียก่อนว่า อาณาจักรคาร์เธจนั้นตั้งอยู่ทางภาคเหนือของทวีปอัฟริกา ปัจจุบันเป็นประเทศตูนีเซีย ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับประเทศอิตาลีพอดี
คาร์เธจ รุ่งเรืองขึ้นมาในช่วงใกล้เคียงกับโรมัน ซึ่งตอนนั้นเรียกว่า สาธารณรัฐโรมัน แต่พวกคาร์เธจเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ก็เพราะการค้าทางทะเล
ดังนั้น กองทัพของคาร์เธจจึงมีความเชี่ยวชาญการรบทางทะเลมากกว่าพวกโรมันในยุคสงครามพิวนิคครั้งที่ 1 เสมือนฟ้าให้ชาวคาร์เธจเกิดมาเป็นทหารเรือ เพื่อให้มาทำสงครามกับพวกโรมันที่เป็นทหารบก
ดังนั้น ในช่วงต้นของสงครามพิวนิคครั้งที่ 1 กองทัพเรือของโรมันจึงพ่ายแพ้ต่อกองทัพเรือคาร์เธจอย่างไม่มีทางเทียบได้
แต่เพียงไม่กี่หนของการปะทะกัน กองทัพเรือโรมันก็แก้ปัญหาจุดอ่อนของตัวเองได้ ด้วยการประดิษฐ์ทางเดินที่เป็นตะขอเกี่ยวเพื่อยึดเรือของฝ่ายตรงกันข้ามให้ผูกติดกับเรือของพวกโรมัน จากนั้น การรบก็ไม่ต่างไปจากการรบภาคพื้นดินที่ทหารโรมันเชี่ยวชาญนัก
นับแต่นั้นมา ยุทธนาวีระหว่าง โรมัน และ คาร์เธจ ก็เสร็จพวกโรมันหมด จนคาร์เธจพ่ายแพ้อย่างยับเยินจนถูกทำลายล้างอย่างราบคาบ
สำหรับท่านที่สนใจจะไปชมอาณาจักรคาร์เธจ ในประเทศตูนีเซีย ซึ่งผมจะเป็นคนนำทัวร์เอง กำหนดเดินทาง 19 ถึง 26 พฤศจิกายน นี้ ติดต่อได้ที่เบอร์โทร 02 651 6900
ที่เล่ามานี้ก็เพื่อจะบอกว่า กองทัพเรือของโรมันนั้นเก่งกาจฉกาจฉกรรจ์ขนาดไหน ในขณะที่ชาวอียิปต์โบราณมีความเชี่ยวชาญในการรบทางทะเลน้อยกว่ากันมาก
และทั้งสองชาติไม่เคยทำสงครามทางทะเลมาก่อนเลย จึงไม่อาจประเมินกำลัง และความสามารถของฝ่ายตรงข้ามได้
แต่มาร์ก แอนโทนี ได้เปรียบ ออคเทเวียน ตรงที่เขาเป็นทหารช่ำชองในการศึกมานาน เคยเป็นทหารคนสนิทของจูเลียส ซีซาร์ มาก่อน และเคยคุมกองกำลังทหารที่มีประสบการณ์ในการรบมาช้านาน ทำให้มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับทหารเหล่านี้ ที่พร้อมมอบความจงรักภักดีให้แก่เขาเสมอ
ในขณะที่ออคเทเวียน ไม่เคยเป็นทหารมาก่อน เข้ามามีบทบาททางการเมืองและการทหารหลังจากที่ จูเลียส ซีซาร์ ถูกลอบสังหาร และ ทำพินัยกรรมมอบอำนาจทางการเมืองให้แก่เขาเท่านั้น
แต่ออคเทเวียน ก็มีเพื่อนดีที่ชื่อ มาร์คัส วิปซานิอุส อะกริปปา (MARCUS VIPSANIUS AGRIPPA) ทั้งสองเป็นทั้งเพื่อนที่เติบโตและเรียนหนังสือมาด้วยกัน มาเป็นขุนพลคู่กายของเขา และช่วยเขาโดยตลอดในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในอำนาจ จนกระทั่งขึ้นเป็นจักรพรรดิโรมัน มีพระนามว่า จักรพรรดิออกุสตุส ซีซาร์
อะกริปปา ช่วยเหลือออคเทเวียนมาตั้งแต่ช่วยจัดตั้งกองกำลังทหารขึ้น ซึ่งในสมัยนั้น กองกำลังทหารเป็นสิ่งที่ต้องจ้าง และ ให้ผลตอบแทน
แต่สิ่งสำคัญก็คือ ต้องรู้ที่จะผูกมัดจิตใจทหารแบบ “ใจซื้อใจ” จนสามารถทำให้ทหารเหล่านี้ตายแทนได้ ซึ่งเรื่องนี้ จูเลียส ซีซาร์ ทำได้ดี
ก่อนที่สัญญาร่วมกันเป็น “พันธมิตรครั้งที่สอง” ที่มีอายุ 5 ปีจะสิ้นสุดลงในปี 33 ก่อนคริสตกาล มาร์ก แอนโทนี ก็ทำจดหมายถึงวุฒิสภา เพื่อขอถอนตัวจากการเป็น “พันมิตรครั้งที่สอง” ในสมัยต่อไป
ออคเทเวียน กล่าวหา มาร์ก แอนโทนีว่า มีความทะเยอทะยานต้องการจะได้อำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครองโรมเหมือนเผด็จการ เพราะครั้งหนึ่ง มาร์ก แอนโทนี เคยเสนอมงกุฎให้แก่ จูเลียส ซีซาร์ ซึ่งมงกุฎเป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่งกษัตริย์ ขัดแย้งกับระบบการปกครองแบบสาธารณรัฐโรมันในยุคนั้นอย่างสิ้นเชิง
ถือว่า มาร์ก แอนโทนี เป็นศัตรูแห่งโรม มีโทษประหารสถานเดียว
ส่วนแอนโทนีก็กล่าวหา ออคเทเวียนว่า ก้าวขึ้นมาสู่อำนาจด้วยการกำจัด เลปิดุส
ออคเทเวียน ก็กล่าวหาแอนโทนีว่า เขาไม่มีสิทธิและอำนาจจากโรมในการตั้งฐานที่มั่นอยู่ในอียิปต์ และกล่าวหาว่า การที่แอนโทนี สังหาร เซกตุส ปอมเปอุส ซึ่งเป็นลูกชายของ ปอมเปย์ ผู้เป็นศัตรูของจูเลียส ซีซาร์ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายโรมัน
เพราะการสังหารประชาชนโรมันโดยไม่มีการไต่สวนก่อน มีโทษประหารชีวิต
และยังกล่าวหาอีกว่า แอนโทนี ยักยอกทรัพย์สินที่ได้จากการทำสงครามเอาไว้มากกว่าครึ่งหนึ่ง แทนที่จะแบ่งให้โรมครึ่งหนึ่งตามข้อตกลง
ในปี 32 ก่อนคริสตกาล วุฒิสภาก็แตกแยกเป็นสองฝ่าย สมาชิกหนึ่งในสามหันมาเข้าข้างแอนโทนี และ ผู้ดำรงตำแหน่งกงสุลทั้งสองคน คือ เนอุส อะเฮนโนบาร์บุส(GNAEUS AHENOBARBUS) กับ ไกอุส ซอสซิอุส(GAIUS SOSIUS) ก็หันมาฝักใฝ่กับแอนโทนีด้วย
ตำแหน่งกงสุลของโรมัน มีความสำคัญมากคล้ายๆกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน
ออคเทเวียน ยังกล่าวหาว่า ความสัมพันธ์ระหว่างมาร์ก แอนโทนี กับ คลีโอพัตรา และการที่แอนโทนี ยอมรับ ซีซาเรียน โอรสของ คลีโอพัตรา ที่เกิดจาก จูเลียส ซีซาร์ ว่าเป็นลูกชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของจูเลียส ซีซาร์ ถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติแก่ตำแหน่งหน้าที่ของออคเทเวียนในโรม
และเป็นการคุกคามต่อตำแหน่งผู้ปกครองแห่งโรมอย่างร้ายแรง
ดูท่าว่า สงครามกลางเมืองระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองของโรม และ สงครามระหว่าง อาณาจักรแห่งอารยธรรมที่เก่าแก่ กับ นักรบที่กระหายสงครามเช่นโรม จะไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป
ติดตามอ่านตอนหน้าครับ
สวัสดี