ซอกซอนตะลอนไป (29 สิงหาคม 2557)
ศักดิ์ศรีของประเทศ และ กระทรวงต่างประเทศ(ตอนจบ)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
การจะอนุญาตให้คนต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศใดประเทศหนี่ง เจ้าของประเทศย่อมจะต้องคิดหลายมุม ทั้งมุมได้และมุมเสีย
อย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นที่ประกาศยกเลิกการขอวีซ่าสำหรับคนไทยที่จะเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว ถือเป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญ และ กล้าเสี่ยงอย่างยิ่ง
เพราะเขารู้ดีว่า ในอดีตตอนที่คนไทยยังต้องขอวีซ่าเพื่อเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น แม้จะเข้มงวดขนาดไหน แต่ก็ยังไม่อาจสะกัดกั้นไม่ให้เกิดการ “กระโดดทัวร์” หรือ “หนีทัวร์” ของนักท่องเที่ยวไทยได้ จึงมักจะมีนักท่องเที่ยวไทยแอบหนีทัวร์ไปอยู่ในญี่ปุ่นเสมอ
ดังนั้น สถานทูตญี่ปุ่นจึงบังคับให้บริษัททัวร์ต้องเก็บพาสปอร์ตของลูกทัวร์ทุกคนไปแสดงให้ดูหลังจากจบโปรแกรมทัวร์ เพื่อยืนยันว่าลูกทัวร์ทุกคนกลับมาแล้ว
หากมีใครหนีไป บริษัททัวร์นั้นๆจะถูกกาหัว และอาจถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เป็นผู้มีสิทธิ์ยื่นวีซ่าแทนนักท่องเที่ยวอีกต่อไป
แต่ที่ญี่ปุ่นจำต้องยอมยกเลิกวีซ่าให้นักท่องเที่ยวไทย เพราะเศรษฐกิจของประเทศกำลังแย่ ประเทศขาดรายได้จำนวนมาก เพราะรัฐบาลจีนไม่สนับสนุนให้คนจีนไปเที่ยวญี่ปุ่น เนื่องจากเกิดความขัดแย้งทางการเมือง
และญี่ปุ่นรู้ว่า คนไทยเป็นนักช้อปปิ้งตัวยง
จึงทำให้ในช่วงเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจท่องเที่ยวของญี่ปุ่นที่กำลังซบเซา กลับฟื้นกลับมาในทันที พร้อมกับจำนวนของคนที่หนีทัวร์ก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
แต่เขาคงรู้ดีว่า ความมีระเบียบวินัยของคนในชาติ จะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้คนต่างชาติไปสร้างความเสียหายต่อเขาได้มากนัก
(ล่าสุด จากรณีที่คนไทยขับรถในขณะมึนเมาจนเกิดอุบัติเหตุทำให้ชาวญี่ปุ่นเสียชีวิต กำลังกลายเป็นประเด็นกดดันให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องพิจารณาเรื่อง “ฟรีวีซ่า”ใหม่อีกครั้ง)
การที่กระทรวงการต่างประเทศให้สิทธิชาวอินเดียในการขอ VISA ON ARRIVAL ซึ่งโดยข้อเท็จจริงก็เหมือนกับ “ไม่ต้องขอวีซ่า”นั่นเอง เพราะการตรวจข้อมูลของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบิน ก็ทำได้แค่ดูว่า ผู้ถือพาสปอร์ตเป็นผู้มีรายชื่อตรงกับรายชื่อผู้ต้องห้ามเข้าประเทศหรือไม่เท่านั้น
ไม่สามารถตรวจข้อมูลในเชิงลึกอะไรได้เลย เพราะเวลาไม่เพียงพอ ซ้ำคนอินเดียยังไม่ต้องแสดงหลักฐานอื่นใดอีกเลย นอกจากพาสปอร์ตเล่มเดียว
อย่างเก่งก็ขอดูว่ามีเงินในกระเป๋ากี่เหรียญดอลลล่าร์ ซึ่งพวกขบวนการขนคนอินเดียเข้ามาทำงานในไทย เขาแจกเงินให้ทุกคนตั้งแต่อยู่บนเครื่องบินแล้ว เพื่อเอามาแสดงให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองดู แล้วค่อยเก็บคืน
จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นแขกขายถั่วเต็มบ้านเต็มเมือง ยัดทะนานกันเข้าไปพักในห้องแถวโทรมๆ 20-30 คนต่อห้อง นอนตามพื้นเรียงกันเป็นตับ ทั้งสกปรกและเหม็น แต่ละคนไม่เคยใช้จ่ายใดๆเลย มุ่งหน้าแต่ทำงานหาเงินอย่างเดียว
บางรายอยู่เมืองไทยนานเข้า ก็ทำตัวเป็นคนปล่อยเงินกู้ให้คนไทยเสียอีก หรือไม่ก็ขายของเงินผ่อน เก็บเงินได้พอสมควรก็ขนกลับบ้าน
ประเทศไทยแทบจะไม่ได้เงินจากชาวอินเดียที่เดินทางเข้าประเทศไทยเลยแม้แต่บาทเดียว
ในทางกลับกัน คนไทยที่จะไปอินเดีย จะต้องยื่นขอวีซ่าที่สถานทูต ต้องแสดงเอกสารตามที่สถานทูตต้องการ นอกจากตั๋วเครื่องบินและพาสปอร์ตแล้ว ยังต้องมีใบจองโรงแรมที่พักตลอดเวลาที่อยู่ในอินเดีย ในกรณีที่ไม่ได้เดินทางไปพร้อมกับบริษัททัวร์
แต่ถ้าไปกับบริษัททัวร์ บริษัททัวร์จะต้องมีโปรแกรมท่องเที่ยว ใบจองโรงแรมทุกคืนที่อยู่ในอินเดีย และ ใบจองบริการทัวร์จากบริษัททัวร์ของอินเดียมาแสดงแก่สถานทูต
เพื่อยืนยันว่า นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องเอาเงินไปจ่ายให้แก่คนอินเดีย
ผมสงสัยว่า นักท่องเที่ยวไทยที่ไปอินเดียเฉพาะที่ไปแสวงบุญปีๆหนึ่งก็นับหมื่นๆคนแล้ว ยังไม่รวมที่ไปเส้นทางอื่น จะมีสักคนมั้ยที่โดดทัวร์ หรือ หนีเข้าไปอาศัยในอินเดียแบบไม่ถูกกฎหมาย
การที่อินเดียออกมาตรการเข้มงวดจนถึงขั้นต้องสแกนลายนิ้วมือคนไทยนั้น (ในขณะที่ญี่ปุ่นยกเลิกไม่ต้องยื่นวีซ่าแก่คนไทย) รัฐบาลอินเดียมองคนไทยว่าเป็นอะไร
นั่นยังไม่สำคัญเท่ากับการที่ รัฐบาลไทย และ กระทรวงการต่างประเทศได้ทำอะไรเพื่อรักษาเกียรติยศ และ ศักดิศรีของคนไทย(ซึ่งไม่ค่อยจะเหลืออยู่แล้ว) ในสายตาของต่างประเทศ
ถ้ากระทรวงการต่างประเทศยืนยันกลับไปว่า หากอินเดียต้องสแกนลายนิ้วมือของคนไทย คนอินเดียทุกคนก็ต้องไปสแกนลายนิ้วมือที่สถานทูตไทยด้วย
และยกเว้นการขอวีซ่าแบบ VISA ON ARRIVAL กับประเทศอินเดีย
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงรัฐบาลอเมริกัน ที่มอบพาสปอร์ตให้แก่ผู้ที่ผ่านการสาบานตนเป็นชาวอเมริกันหมาดๆ ด้วยการมอบพาสปอร์ตทั้งแบบเป็นเล่ม และ แบบที่เป็นเหมือนบัตรประชาชน
บนซองที่ใส่พาสปอร์ตดังกล่าว นอกจากมีชื่อของผู้เป็นเจ้าของแล้ว เขายังมีข้อความที่ทำให้ผู้ได้รับพาสปอร์ตใหม่ เพื่อแสดงสิทธิของการเป็นประชาชนชาวอเมริกันว่า
“THE WORLD IS YOUR” แปลว่า “โลกใบนี้เป็นของคุณ”แล้ว
โลกเป็นของชาวอเมริกันจริงๆ เพราะในโลกนี้ เขาไม่ต้องขอวีซ่าเข้าประเทศใดเลย ยกเว้นเพียงไม่ถึง 10 ประเทศเท่านั้น
กระทรวงการต่างประเทศช่วยคืนศักดิศรีของความเป็นคนไทยให้หน่อย หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้คืนความสุขให้แก่ประชาชนคนไทยแล้ว
ผมจะรอวันนั้น