เก็บตกจากรัสเซีย

ซอกซอนตะลอนไป    (25 เมษายน  2557)

เก็บตกจากรัสเซีย

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

               รัสเซียเปลี่ยนแปลงไปมากนับตั้งแต่ผมไปรัสเซียครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว

               เดี๋ยวนี้มีโรงแรมมาตรฐานดีๆให้เลือกมากขึ้น  ไม่ต้องทนพักโรงแรมใหญ่มหึมาประเภทรับแขกได้กว่า 3,000 คนแต่บริการไม่ได้เรื่องเลย  อย่างเช่นโรงแรมคอสมอสในมอสโคว์ และ โรงแรมพลิบอลติคสกายา ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศทั้งคู่ 

               อาหารการกินมีหลากหลายให้เลือกมากขึ้น  และอร่อยกว่าเดิมด้วย  ไม่ว่าจะเป็นอาหารพื้นเมืองรัสเซีย และอาหารจีน   ยังไม่พูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสวยงาม  และ  มีคุณค่าทั้งทางด้านศิลปะ และประวัติศาสตร์ให้ชมมากมาย

               แต่วันนี้ของพูดถึง  แหลมไครเมีย(CRIMIA) และ ประเทศยูเครน(UKRAIN)ที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาในรัสเซียขณะนี้ก่อน

               เคยสงสัยบ้างมั้ยครับว่า   ทำไมสหรัฐอเมริกาจึงต้องเข้ามาเป็นเดือดเป็นร้อนกับ ไครเมีย และ ยูเครน   ทั้งๆที่ยูเครนอยู่ใกล้ชิดกับสหภาพยุโรปมากกว่าสหรัฐอเมริกาเป็นไหนๆ   แต่ยุโรปดูเหมือนจะเฉยๆกับเรื่องนี้

               ดูจากสภาพภูมิศาสตร์จะเห็นว่า   ไครเมีย เป็นแหลมที่อยู่ทางตอนเหนือของทะเลดำ  ล้อมรอบด้วยทะเลทุกด้าน   ด้านหนึ่งก็คือ ทะเลดำ(BLACK SEA)  และอีกด้านหนึ่งก็คือทะเลอาซอฟ(SEA OF AZOV)


(ภาพจากวิกิพีเดีย)   

               ถ้าย้อนไปดูในประวัติศาสตร์จะเห็นว่า  แหลมไครเมีย และ ทะเลอาซอฟ เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว  เคยเป็นที่อาศัยของชนเผ่าต่างๆตั้งแต่ พวกซิมเมอร์เรียน(CIMMERIANS) , ซีเธียน(SCYTHIANS)  , พวกอาณานิคมกรีก(GREEK COLONIES)  , โรมัน(ROMAN)  ,ชนเผ่ากอธ(GOTHS) , พวกฮุ้นส์(HUNS)  , พวกบัลการ์(BULGARS) ,  พวกคาซาร์(KHAZARS)  แล้วมาเป็นรัฐเคียฟของรัสเซีย(STATE OF KIEVAN RUS)  เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรไบแซนไทน์(THE BYZANTINE EMPIRE)  , เป็นที่ตั้งของกองทัพทองคำของพวกมองโกล(THE FOLDEN HORDE) , เป็นส่วนหนึ่งของรัฐเวนิส(REPUBLIC OF VENICE)

               ประวัติศาสตร์จึงเป็นเครื่องยืนยันว่า  ทำเลแห่งนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของทะเลดำ  


(อนุสาวรีย์ของพระเจ้าปีเตอร์ ที่ 1 หรือ พระเจ้าปีเตอร์มหาราช ที่เมืองเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก)

               รัสเซียในสมัยของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช  ต้องทำสงครามกับ อาณาจักรออตโตมาน ของตุรกี ระหว่างปีค.ศ. 1695 – 1696  เพื่อแย่งชิงทะเลอาซอฟ และ ไครเมียมาเป็นของรัสเซีย  เพื่อเปิดทางออกสู่ทะเลของรัสเซียในทะเลดำ

               หลังจากนั้น   ไคเมีย และ ทะเลอาซอฟ ก็เปลี่ยนมือไปมาระหว่างรัสเซีย กับ อาณาจักรออตโตมาน  และสุดท้ายก็ตกเป็นของสหภาพโซเวียต  


(พระราชวังเครมลิส ภายในกำแพงสีแดง อยู่ริมแม่น้ำมอสโคว์)

               ในปีค.ศ. 1954  สหภาพโซเวียต โดยประธานาธิบดีนิกิตา  ครุชชอฟ (NIKITA KHRUSHCHEV) ได้ยกไครเมีย ให้แก่ รัฐยูเครน  ซึ่งขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต

               สาเหตุที่ครุชชอฟ ยกดินแดนไครเมีย ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์และเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญให้แก่ ยูเครน ก็เพราะ ครุฟชอฟ เป็นชาวยูเครน โดยกำเนิด  และเขาต้องการสร้างความนิยมของตนเองในยูเครน

               แม้ว่า  ยูเครนซึ่งตอนนั้นมีชื่อเรียกว่า  UKRAINIAN SOVIET SOCIALIST REPUBLIC  จะเป็นส่วนของสหภาพโซเวียต   แต่ก็เป็นการผนวกรวมของสองประเทศที่มีพื้นฐานต่างกัน 


(โบสถ์เซนต์ เบซิล ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของ รัสเซีย ไปแล้ว)

               ชาวยูเครน กับ ชาวรัสเซีย มีความแตกต่างกันด้วยเชื้อชาติ  และภาษาพูด  เพราะชาวยูเครนพูดภาษายูเครนเนียน    แต่ชาวรัสเซียพูดภาษารัสเซียน 

               ตอนที่ครุชชอฟ ยก ไครเมียให้แก่ยูเครนนั้น  ชาวรัสเซียเองก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นการเสียดินแดนให้แก่อีกประเทศหนึ่ง   เพราะ ตอนนั้นยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต


(ภายในโบถส์เซนต์ ไอแซค ที่สวยงามอลังการอย่างยิ่ง)

               ไม่มีใครคิดว่า   สหภาพโซเวียต จะมาแตกเป็นประเทศย่อยๆอย่างทุกวันนี้

               จึงไม่น่าแปลกใจที่  ไครเมีย  และ ภาคตะวันออกของยูเครน จะเป็นพื้นที่ที่มีชาวรัสเซียเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ   ที่ต้องการจะให้ประเทศกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย

               เพราะขณะนี้   ยูเครน ถอยหลังอย่างมาก  ทั้งในแง่ของการพัฒนาการ และ เศรษฐกิจ  


(พิพิทภัณฑ์ เฮอร์มิเทจ  สถานที่ที่ต้องไปดูให้ได้เมื่อไป เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก)

               ที่น่าสนใจก็คือ  ไกด์สาวที่ผมคุยด้วยบอกว่า   หลังจากประเทศมีปัญหาในเรื่องดินแดนไครเมีย และ ยูเครน กับสหรัฐอเมริกา    คนอเมริกันยกเลิกทัวร์ที่เข้ารัสเซียเกือบหมด  เพราะรัฐบาลอเมริกันเตือนว่า   การไปรัสเซียอาจจะไม่ปลอดภัย 

               เธอบอกว่า  เธอยินดีที่จะเสียสละ และ อดทนต่อการขาดรายได้ของตัวเอง  เพื่อสนับสนุนแนวทางของรัฐบาลในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ 

               ไม่ว่าใครเป็นผู้นำประเทศ   ได้ยินแบบนี้คงจะชื่นใจที่ประชาชนให้การสนับสนุน

               และที่น่าสนใจมากกว่านั้นอีก   วลาดิเมียร์ ปูติน  ประธานาธิบดี ของรัสเซียเพิ่งจะให้สัมภาษณ์ว่า   ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า   จีนจะกลายเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก


(พระราชวังปีเตอร์ ฮอฟ ของพระเจ้าปีเตอร์ ที่ 1)

               พูดแบบนี้แสดงว่า   รัสเซีย คงจะผูกพันข้าวเหนียวนึ่งกับ จีน จนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว  

               แบบนี้   อเมริกาหนาวแน่  

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *