ยกเลิกมาตรา 370 ภารกิจรัฐบุรุษ(ตอน24)

ซอกซอนตะลอนไป                           (19 มกราคม 2568)

ยกเลิกมาตรา 370 ภารกิจรัฐบุรุษ(ตอน24)

ก่อนอินเดียแยกประเทศ

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

ในระหว่างการเกิดจลาจลของ “วันปฎิบัติการตรง” วันที่ 16 สิงหาคม 1946  ชาวกัลกัตตาจำนวนนับพันพยายามหนีออกจากเมืองโดยทางรถไฟ   แต่จำนวนไม่น้อยที่หนีไม่สำเร็จ   ถูกทำร้ายจนตาย

ข่าวการจลาจล และ การสังหารโหดชาวฮินดูโดยชาวมุสลิมในกัลกัตตา แพร่ออกไปอย่างไม่เร็วนัก   เพราะการสื่อสารในสมัยนั้นยังไม่มีประสิทธิภาพ  แต่ในไม่ช้า  ข่าวก็มาถึงเมืองนัวคาลี(NOAKHALI) ในจังหวัดจิตตะกอง(CHITTAGONG) (ปัจจุบันอยู่ใน บังคลาเทศ)  ซึ่งในวันนั้นเป็นส่วงหนึ่งของรัฐเบงกอล


(เมืองจิตตะกอง ซึ่งในปี 1946 ยังเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของบังคลาเทศ-ภาพจาก GOOGLE MAP)

อาจเรียกได้ว่า  การจลาจลที่ นัวคาลี  เป็นภาคสองของ วันปฎิบัติการตรง  แต่หนักหนาสาหัสมากกว่า   เพราะในพื้นที่นี้มีประชากรมุสลิมมากกว่าประชากรฮินดู

สาเหตุอีกส่วนหนึ่งมาจากข่าวลือที่แพร่กันไปอย่างไร้ความจริงว่า   ชาวมุสลิมจำนวนมากถูกชาวฮินดูสังหารในเมืองกัลกัตตา   จึงมีความพยายามจากชาวมุสลิมในเมืองจิตตะกองที่ต้องการจะฆ่าล้างแค้นชาวฮินดูให้แก่พวกของตัวเอง

นอกจากนี้   ยังมีข่าวลือแพร่สะพัดที่เสมือนราดไฟเข้าไปในกองเพลิงว่า  จะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีบูชายัญต่อเทพเจ้าของชาวฮินดูที่ปกติจะใช้แพะเป็นเครื่องบูชายัญมาเป็นใช้เด็กชายมุสลิมแทน   

การสังหารโหดชาวฮินดูในนัวคาลี เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม ซึ่งตรงกับเทศกาลเฉลิมฉลองโคจาการี ลักษมี ปูจา ของชาวฮินดู  การสังหารโหดดำเนินต่อเนื่องนานราว 1 สัปดาห์   

มีชาวฮินดูประมาณ 50,000 คนที่ตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวเหมือนโดนปล่อยเกาะ ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะอยู่ภายใต้การจับตาใกล้ชิดของชาวมุสลิม    ในบางหมู่บ้าน  ชาวฮินดูจะต้องขออนุญาตจากผู้นำมุสลิมเสียก่อนหากต้องการจะเดินทางออกจากหมู่บ้าน

ความรุนแรงของกลุ่มชนที่พลุ่งพล่านด้วยความโกรธ ถูกระบุว่าเป็นม็อบจัดตั้ง   พวกนี้มีเจตนาที่จะทำร้ายชาวฮินดู  ลบหลู่  และ เหยียดหยามศาสนาฮินดู หรือ อื่นใดที่เกี่ยวข้องกับศาสนาฮินดูเป็นหลัก

นอกจากการเผายุ้งฉาง  อาคารบ้านเรือนของชาวฮินดูแล้ว   ยังมีการเผาทำลายวิหารของฮินดูอีกด้วย  และยังมีการโยนเนื้อวัวเข้าไปในวิหารเพื่อแสดงการลบหลู่ศาสนาฮินดู   เพราะวัวเป็นพาหนะของพระศิวะ และเป็นที่เคารพของชาวฮินดู


(ผู้หญิงชาวเบงกอล ที่สวมกำไลข้อมือสีขาวทำจากหอยสังข์ และ ป้ายสีแดงเหนือหน้าผากขึ้นไป – ภาพจาก PICXY)

ผู้หญิงจำนวนมากถูกดึงเอากำไลข้อมือสีขาวที่ทำจากหอยสังข์ของคู่กายของพระวิษณุ  ที่ผู้หญิงชาวเบงกอลทุกคนถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก   และ ยังลบหลู่ด้วยการลบสี “สินดูร์” สีแดงที่ขีดจากขอบผมตรงหน้าผากขึ้นไปตรงกลางศรีษะ  อันเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว  

บางคนถูกบังคับให้ท่องบทสวดของมุสลิมที่เรียกว่าคัลมาห์ (THE SIX QALMAH)  และคนจำนวนมากถูกบังคับให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม  ซึ่งการจลาจลที่นัวคาลี ถือเป็นครั้งที่มีชาวฮินดูเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามมากที่สุดในครั้งเดียว  ประมาณว่า 95 เปอร์เซนต์ของประชากรของนัวคาลี ถูกบังคับให้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม

ผู้หญิงที่โชคร้ายกว่านั้นจำนวนมากถูกข่มขืน และ  ฆ่า


(คานธี เดินทางไปตามหมู่บ้านของนัวคาลี เพื่อพูดคุยกับผู้สูญเสีย-ภาพจากวิกิพีเดีย)

คานธี เดินทางเข้าไปที่นัวคาลีในวันที่ 7 พฤศจิกายน 1946  เพื่อเรียกร้องให้หยุดการประหัตประหารกัน  เขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นนาน 4 เดือนเดินทางไปยังหมู่บ้านต่างๆกว่า 250 หมู่บ้าน  เพื่อพบปะกับชาวฮินดู  ชาวมุสลิม และ ผู้นับถือศาสนาอื่นๆเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรง 

คานธี ซึ่งขณะนั้นอายุ 76 ปีแล้ว  และ กำลังป่วยได้ประกาศว่า จะอดอาหารจนตาย หรือ จนกว่าประชาชนชาวนัวคาลีจะหยุดการประหัตประหารกัน

ในที่สุด  การประหัตประหารกันในนัวคาลีก็สงบลง  แต่ก็ยังมีการประหัตประหารกันในที่อื่นๆ เช่น รัฐพิหาร เป็นต้น   

ถึงจุดนี้  ผู้นำของพรรคคองเกรส เริ่มยอมรับแล้วว่า  การแยกประเทศเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .