ยกเลิกมาตรา 370 ภารกิจรัฐบุรุษ(ตอน18)

ซอกซอนตะลอนไป                           (8 ธันวาคม 2567)

ยกเลิกมาตรา 370 ภารกิจรัฐบุรุษ(ตอน18)

ก่อนอินเดียแยกประเทศ

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

ตำแหน่งคาลิป  คือผู้ปกครองที่ถืออำนาจสูงสุดทั้งทางโลก  และ  ทางศาสนา  ของศาสนาอิสลาม  เทียบได้กับกษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช  โดยยึดกฎหมายสำคัญในการปกครองประเทศก็คือ  กฎหมายชาเรีย

ไม่ได้ใช้กฎหมายสากลแบบประเทศทั่วไป

ชาวอินเดียมุสลิมสุดโต่งบางส่วนจึงเกิดความโหยหาอาวรณ์หากโลกมุสลิมจะต้องสูญเสียคาลิปไป  เพราะคาลิปก็มีความสำคัญประมาณสันตะปาปาของศาสนาคริสต์    จึงเริ่มขบวนการที่เรียกว่า ขบวนการคิลาฟัต  เพื่อระดมเงินไปช่วยในการต่อสู้เพื่อฟื้นฟูตำแหน่งคาลิปขึ้นมาใหม่ 

ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดของ มาตาฟา เคมาล อะตาเติร์ก  และ เสมือนเป็นการล้มล้างอะตาเติร์กด้วย


(ชัวคัต อาลี – ภาพจากวิกิพีเดีย)

นักการเมืองอินเดีย 3 คน คือ ชัวคัต อาลี ,  เมาลานา โมฮัมหมัด อาลี  จัวฮาร์ ฮาคิม อัจมาล ข่าน  และ อับดุล คาลาม อาซาด  ออกเดินสายตระเวณหาเงินบริจาคเพื่อการนี้   แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด  เนื่องจากมีเรื่องคอรัปชั่นเงินบริจาคจำนวนมาก  ขบวนการดังกล่าวจึงต้องยุบเลิกไปในปี 1924 หลังจากที่ดำเนินการมาได้ 5 ปี


(เมาลานา โมฮัมหมัด อาลี จัวฮาร์-ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต่อสู้เพื่ออิสรภาพของอินเดีย-ภาพจากวิกิพีเดีย )

ปี 1935  รัฐสภาอังกฤษที่ลอนดอนได้ตรากฎหมายที่เรียกว่า กฎหมายรัฐบาลอินเดียปี 1935 (GOVERNMENT OF INDIA ACT 1935)  ระบุให้มีการเลือกตั้งตัวแทนประชาชนเข้ามาทำงานในรัฐสภาท้องถิ่น   แต่กำหนดให้เลือกตั้งเพียงแค่ 11 จังหวัดนั้น  ประกอบด้วย


(การเดินพาเหรดของผู้ต่อสู้ของขบวนการ คิลาฟัตในอินเดีย- ภาพจากวิกิพีเดีย) 

มัดราส , จังหวัดกลาง(CENTRAL PROVINCE) , พิหาร , โอดิสสา  , อัสสัม (ซึ่งรวมเป็นส่วนหนึ่งของเบงกอล เพรสซิเดนซี่ ที่รวมกอลกัตตาเอาไว้ด้วย) , ยูไนเต็ดโพรวินส์(UNITED PROVINCES) ซึ่งในปัจจุบันก็คือ รัฐอุตตระประเทศ  , บอมเบย์ เพรสซิเดนซี่(BOMBAY PRESIDENCY)  ,  จังหวัดพรมแดนด้านตะวันตกเฉียงเหนือ(NORTH-WEST FRONTIER PROVINCE) , ปัญจาบ  และ  สินด์ (SIND)

ขณะนั้น  อินเดียมีพรรคการเมืองใหญ่สุดของประเทศเพียง 2 พรรค คือ พรรคอินเดียน เนชั่นนัล คองเกรส ของฝ่ายฮินดู  และ สหพันธ์มุสลิมลีก ที่เป็นคู่แข่งขันกันโดยตรง 

ผลการลงคะแนนได้รับการประกาศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 1937  ปรากฎว่า  พรรคอินเดียน เนชั่นนัล คองเกรส (ปัจจุบันก็คือ พรรคคองเกรสของตระกูลคานธี) ได้รับเลือกตั้งชนะเด็ดขาดใน 7 จังหวัด  อีก 4 จังหวัดที่เหลือแม้ว่าคองเกรสจะไม่ได้เสียงข้างมากจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลท้องถิ่นได้   แต่ก็ไม่มีพรรคการเมืองใดที่ครองเสียงข้างมาก  ซึ่งทำให้ต้องจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นมา

สหพันธ์มุสลิมลีก ได้เสียงเพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลท้องถิ่นในจังหวัดเบงกอล ที่มีเมืองหลวงอยู่ที่กัลกัตตา  เพราะมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะในเบงกอลตะวันออก ซึ่งปัจจุบันนี่ก็คือ บังคลาเทศ

ภาพโดยรวมของการเลือกตั้งในปีนั้นก็คือ  มุสลิมพ่ายแพ้ฮินดูอย่างขาดลอย

เมื่อเห็นเช่นนี้   จินนาห์ ผู้นำของชาวมุสลิมจึงตัดสินใจว่า  จะต้องแยกประเทศออกมาจากอินเดีย  เพื่อให้เป็นประเทศปากีสถาน   เพราะหากยังเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย  ชาวมุสลิมจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงในสภาไม่ว่าในสภาท้องถิ่น หรือ สภาระดับประเทศเลย

การประชุมของฝ่ายมุสลิมที่เมืองลาฮอร์ได้ออก “ปณิธานแห่งเมืองลาฮอร์ปี 1940” ระบุสาระสำคัญว่า  อินเดียจะต้องแบ่งแยก  และให้พื้นที่ที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่จำนวนมากที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ  และ  ภาคตะวันออกของประเทศ  ออกมาเป็นประเทศอิสระอีกประเทศหนึ่ง


(ลอร์ด วาเวลล์ ผู้สำเร็จราชการแห่งอินเดีย – ภาพจากวิกิพีเดีย)

รัฐบาลลอนดอน จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง  ประกอบด้วยชนชั้นสูงของอังกฤษหลายคน และ ลอร์ด วาเวลล์ ผู้สำเร็จราชการแห่งอินเดีย กับคู่กรณีทั้งสามฝ่าย เพื่อทำภารกิจประชุมไกล่เกลี่ยให้ยอมรับการอยู่ในประเทศอินเดียประเทศเดียว

แต่ไม่มีใครไว้ใจใคร  การประชุมไกล่เกลี่ยจึงล้มเหลว  และเป็นผลให้รัฐบาลอังกฤษของคลีเมนต์ แอทลี  ทำการเปลี่ยนตัวผู้สำเร็จราชการมาเป็น ลอร์ด เมาท์ แมตเทน แทน   

ความรุนแรงที่เลวร้ายสุดๆของประเทศอินเดียราวกับนรกแตกกำลังจะตามมา

ท่านที่สนใจจะร่วมเดินทางเจาะลึกอียิปต์10 วัน 7 คืนกับผม  ขณะนี้ทริปสุดท้าย ระหว่างวันที่ 12-21 กุมภาพันธ์ 2568 เหลือที่นั่งไม่มากแล้ว  สำรองที่นั่งได้ที่โทร 0885786666 หรือ LINE ID -14092498

รออ่านต่อสัปดาห์หน้าครับ

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .