ยกเลิกมาตรา 370 ภารกิจรัฐบุรุษ(ตอน17)

ซอกซอนตะลอนไป                           (1 ธันวาคม 2567)

ยกเลิกมาตรา 370 ภารกิจรัฐบุรุษ(ตอน17)

ก่อนอินเดียแยกประเทศ

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

ความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่ฝังรากลึกในอินเดีย ระหว่างชาวฮินดู และ ชาวมุสลิม จนมีความรู้สึกว่า   ไม่อาจอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันได้นั้นมาจากสาเหตุจากเรื่องศาสนา และ ความเชื่อเป็นหลัก

นักรบมุสลิมเรียกคนที่นับถือศาสนาอื่นที่ไม่ใช่อิสลามว่า คาเฟอร์ (KAFIR) ซึ่งมีความหมายประมาณว่า  พวกนอกศาสนา  ต้องจัดการหันมานับถือศาสนาอิสลามให้ได้  หรือไม่ก็ต้องทำลายให้หมดสิ้นไป   เช่นเดียวกับแนวคิดของศาสนาคริสต์ในช่วงยุคกลางที่มีการบังคับให้ผู้คนหันมานับถือศาสนาคริสต์ด้วยการข่มขู่ลงโทษจนถึงขั้นประหารชีวิต

แนวคิดของนักรบมุสลิมตั้งแต่ยุคมูฮัมหมัด คาซิม ที่ยกทัพบุกอินเดียในปี 708 จนถึงยุคแห่งความเลวร้ายของ มาห์มุด แห่ง กาซนี่ย์ ตั้งแต่ปี 1001 เรื่อยมานั้น   เน้นในเรื่องการทำลายล้างผู้นับถือศาสนาอื่น  จนทำให้ชาวฮินดูจำนวนมากจำต้องหันมานับถือศาสนาอิสลาม

สำนึกของบรรดานักรบมุสลิมเหล่านี้ ถูกหล่อหลอมด้วยหลักศาสนาให้ทุกคนวางน้ำหนักในเรื่องความเป็นภราดรภาพ หรือ พี่น้องศาสนาเดียวกันมากกว่าเรื่องอื่นใดทั้งปวง

เหนือกว่าแม้กระทั่งเรื่องแผ่นดินเกิด

จึงไม่น่าแปลกใจที่  จินนาห์ ผู้นำของกลุ่มมุสลิมลีกจึงยืนกรานที่จะต้องแยกประเทศออกไปเป็นประเทศปากีสถานให้ได้  เพราะเขาต้องการให้ปากีสถานเป็นดินแดนบริสุทธิ์ในความหมายของมุสลิมก็คือ   แผ่นดินที่ทุกคนนับถือศาสนาอิสลาม

เพราะมุสลิมในอินเดียจำนวนหนึ่งมีแนวคิดไปในทางสุดโต่ง พวกเขาแทบจะไม่รู้สึกถึงความเป็นชาติเดียวกัน  และไม่มีความรู้สึกผูกพันธ์ต่อแผ่นดินเกิด  แต่จะผูกพันธ์ต่อศาสนาที่ตัวเองนับถือเท่านั้น  

สิ่งที่พวกเขาคิดได้ก็คือ  จะต้องสร้างประเทศใหม่ที่มีแต่พรรคพวกของตนที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น   ไม่ยอมอาศัยปะปนกับคนในศาสนาอื่น


(อาณาเขตภายใต้การยึดครองของ ราชวงศ์อ๊อตโตมาน (สีเหลือง)ในช่วงที่รุ่งเรืองสูงสุด-ภาพจากกูเกิ้ล แมพ)

(อาณาเขตภายใต้การยึดครองของ ราชวงศ์อ๊อตโตมาน (สีเหลือง)ในช่วงที่รุ่งเรืองสูงสุด-ภาพจากกูเกิ้ล แมพ)

แนวคิดนี้   มีความรุนแรงขึ้นหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1918   เมื่ออาณาจักรอ๊อตโตมาน แห่ง ตุรกี พ่ายแพ้สงคราม  นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ที่จักรพรรดิแห่งอ๊อตโตมาน ซึ่งมีสถานะเป็นคาลิปของศาสนาอิสลามด้วย เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด   มาเป็นระบบสาธารณรัฐที่นำโดย  มุสตาฟา เดคาล อะตาเติร์ก


(พิธีปลดคาลิป อับดุล เมจิด ที่ 2 จักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์อ๊อตโตมานออกจากตำแหน่ง ทำให้ตำแหน่งคาลิปของศาสนาอิสลามจบสิ้นลง)

หลังจากมีการลงนามในสนธิสัญญาแห่ง เซฟเรส (TREATY OF SEVRES) เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ปี 1920  ที่ฝรั่งเศส  ทำให้อาณาจักรอ๊อตโตมานต้องสูญเสียดินแดนจำนวนมากโดยเฉพาะชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปให้แก่ชาติพันธมิตรฝ่ายชนะสงคราม  เช่น  อังกฤษ  ฝรั่งเศส อิตาลี  และ  กรีซ


(มุสตาฟา เคมาล อะตาเติร์ก บิดาแห่งประเทศตุรกีผู้เปลี่ยนโฉมหน้าของตุรกีมาสู่ยุคใหม่-ภาพจากวิกิพีเดีย)

โชคดีที่ตุรกีมีผู้นำที่แข็งแกร่งและเห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นหลักอย่าง อะตาเติร์ก   ที่ทำการต่อสู้ทำสงครามกับอังกฤษเพื่อดึงดินแดนเหล่านี้กลับคืนมา  และรวมถึงการดึงทำให้ชาติพันธมิตรต้องกลับสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้ง  นำไปสู่การที่ชาติพันธมิตรต้องคืนดินแดนที่ยึดคืนมาให้แก่ตุรกีด้วยสนธิสัญญาโลซานน์

พร้อมกันนั้น  อะตาเติร์ก ก็สถาปนาประเทศใหม่ให้อยู่ในระบอบการปกครองแบบสาธารณะรัฐ  ตัดขาดจากแนวคิดการปกครองประเทศที่ด้วยศาสนาอิสลาม ตามที่เคยเป็นมา   


(ผู้ร่วมขบวนการคิลาฟัตในอินเดีย-ภาพจากวิกิพีเดีย)

ปี 1919  มีการก่อตั้งขบวนการที่เรียกว่า  คิลาฟัต (THE KHILAFAT MOVEMENT) ขึ้นในอินเดีย  โดยชาวมุสลิมอินเดีย  ทั้งนี้เพื่อที่จะฟื้นฟูระบบคาลิปในตุรกี ที่กำลังล่มสลายไปแล้วให้กลับคืนมาใหม่

คำว่า  คิลาฟัต เป็นภาษาอาระบิค หมายถึง  ตำแหน่ง คาลิป นั่นเอง

หลังจากนั้น   วันที่ 3 มีนาคม ปี 1924  อะตาเติร์ก ก็ประกาศยุบเลิกระบบคาลิปของตุรกีที่ดำรงมาอย่างยาวนาน 400 ปีเศษ

ทำไม  ชาวอินเดียมุสลิมกลุ่มหนึ่งถึงต้องเป็นเดือดเป็นร้อนกับการยุบเลิกตำแหน่งคาลิป   สัปดาห์หน้าจะมาเล่าให้ฟังครับ

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .