ชีวิตเป็นของมีค่า
ระบบการศึกษาของอินเดียล้ำหน้ากว่าไทยมาก (ตอน2)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ตอนที่แล้ว ผมได้พูดถึงระบบโรงเรียนชั้นประถมของอินเดียที่แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ โรงเรียนของรัฐฯ หรือ โรงเรียนที่รัฐอุปถัมภ์เต็มร้อย ประเภทที่ 2 คือ โรงเรียนกึ่งรัฐกึ่งเอกชน ประเภทที่ 3 คือ โรงเรียนเอกชนเต็มร้อย
โรงเรียนประเภทที่ 4 ที่จะพูดถึงก็คือ โรงเรียนที่มีผู้อุปถัมภ์
เป็นโรงเรียนเอกชนที่มีผลงานการเรียนการสอนที่มีแนวทางที่ดี มีอนาคต ทำให้บริษัทที่ร่ำรวยและมีจิตสาธารณะบางบริษัทที่ต้องการจะช่วยชาติได้เข้ามาสนับสนุนทางด้านการเงิน เพื่อให้โรงเรียนเหล่านี้สามารถสรรหาบุคลากรครูที่มีคุณภาพมาสอน และ สามารถหาอุปกรณ์การเรียนการสอนที่พัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปมาช่วยการสอน
หลักการสำคัญก็คือ แม้จะมีครูที่ดี อุปกรณ์การเรียนการสอนที่ดี แต่ต้องไม่เก็บค่าเทอมในราคาแพงในระดับเดียวกับโรงเรียนเอกชนที่มีคุณภาพเท่าๆกัน
บริษัทที่เข้ามาสนับสนุนโรงเรียนประเภทนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวก็คือ บริษัทตาต้า
ผมเคยเขียนถึงตระกูลตาต้า ที่มาและที่ไปเอาไว้ซึ่งอยู่ในบล็อก “ซอกซอนตะลอนไป” ในเว็บไซต์ www.whiteelephanttravel.co.th ท่านที่สนใจสามารถเข้าไปหาอ่านย้อนหลังได้
ตาต้า เป็นตระกูลชาวอินเดียที่มีต้นกำเนิดมาจากเปอร์เชีย หรือ อิหร่านปัจจุบันนี้ หลังจากที่อพยพมาขึ้นฝั่งที่บริเวณรัฐกุจราฐ ก็เริ่มต้นทำการค้าขายจนประสบความสำเร็จเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆของอินเดีย แล้วตระกูลตาต้าก็เริ่มตอบแทนแผ่นดินอินเดีย
แม้จะร่ำรวยอย่างบ้าคลั่ง แต่ตระกูลตาต้าก็ไม่เคยออกมาโอ้อวดความร่ำรวยของตนเอง และไม่เคยบ้าเลือดใช้เงินหลายพันล้านดอลล่าร์ในการจัดงานแต่งงานของคนในตระกูลอย่างไร้สาระ
แต่สมาชิกของตระกูลกลับเป็นคนที่อ่อนน้อม ถ่อมตน ติดดิน และ สำรวม
ตระกูลตาต้าหันไปทุ่มเทเงินทองเพื่อสร้างบุคลากรของประเทศให้เป็นบุคคลคุณภาพของประเทศในอนาคต และมิใช่เพียงแค่บุคลากรทางด้านการศึกษาเท่านั้น เขายังให้การสนับสนุนทางด้านการกีฬาด้วย
ที่เมือง จัมเชดปูร์ ในรัฐจาร์คฮาน ซึ่งเป็นสถานที่แห่งแรกที่ จัมเชดจิ ตาต้า เริ่มสร้างโรงงานของเขาเป็นครั้งแรกที่อินเดีย จนช่วยทำให้เขาสร้างตัวขึ้นมาจนเป็น 1 ใน 5 มหาเศรษฐีของอินเดีย
ตระกูลตาต้า สำนึกในบุญคุณของเมืองนี้มาตลอด ไม่เคยทอดทิ้งไปไหนแม้ว่าตาต้าจะสร้างสำนักงาน และ โรงงานในหลายๆเมือง
เขาช่วยพัฒนา และ ดูแลรักษาเมืองจัมเชดปูร์ จนกระทั่งในปี 2020 จัมเชดปูร์ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่สะอาดที่สุดของอินเดีย
ตระกูลตาต้าได้สร้าง JRD TATA SPORTS COMPLEX ซึ่งมีทั้งสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ ลู่วิ่งแข่งขันระดับมาตรฐาน และ สถานฝึกฝนกีฬาประเภทต่างๆ เช่น ยิงธนู บาสเก็ตบอล ฮ็อคกี้ เทนนิส ปิงปอง ว่ายน้ำ วอลเลย์บอล และอีกมามาย
สถาบันนี้ได้สร้างนักฟุตบอล และ นักกีฬาเก่งๆออกไปเป็นนักกีฬาทีมชาติมากมายหลายคน
กลับมาพูดถึงโรงเรียนประเภทที่ 4 ซึ่งหมายถึงโรงเรียนเอกชนที่ได้รับการอุปถัมภ์จากตระกูลตาต้า
ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า ไม่ใช่โรงเรียนเอกชนทุกโรงเรียนของอินเดียจะร่ำรวย บางแห่งก็อยู่ในฐานะยากจน หรือ พอถูไถไปได้ หรืออยู่ห่างไกลชุมชน หรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตามทำให้เก็บค่าเล่าเรียนแพงไม่ได้
การศึกษาจึงไม่อาจพัฒนาเท่ากับโรงเรียนเอกชนที่มีทุนทรัพย์สูงๆได้
ตระกูลตาต้า จะมีคณะกรรมการชุดหนึ่งคอยพิจารณาโรงเรียนที่มีศักยภาพ แต่ขาดทุนทรัพย์เพื่อเข้าไปสนับสนุน เช่น จ้างครูที่มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆที่มีค่าตัวสูงๆมาสอนซึ่งลำพังโรงเรียนเองไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ้างครูเหล่านี้มาสอนได้ เพราะโรงเรียนเก็บค่าเทอมไม่แพง
ทำให้นักเรียนที่แม้จะอยู่ห่างไกลเมืองใหญ่ หรือ ห่างไกลความเจริญก็มีโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาเป็นอนาคตของชาติได้
เป็นแนวคิดที่สุดยอดและน่าสนับสนุนมาก
ตั้งแต่เด็กผมได้รับรู้ว่า โรงเรียนเตรียมอุดมฯ เป็นสถานศึกษาที่ผลิตคนเก่งๆออกมามาก แต่โรงเรียนนี้อยู่ในกรุงเทพ เด็กๆผู้เกิดและเติบโตที่หนองหมาว้อ ห่างไกลความเจริญกลายเป็นเด็กนักเรียนที่ตกขบวนรถ เพราะไม่สามารถสอบแข่งขันกับเด็กนักเรียนเตรียมได้เนื่องจากโอกาสทางการศึกษาไม่เท่ากัน
ทำไม นักธุรกิจไทยทั้งระดับประเทศ และ ระดับท้องถิ่น จึงไม่คิดวิธีพัฒนาท้องถิ่น และ ประเทศแบบเดียวกับที่ตระกูลตาต้า ทำบ้าง
เรื่องนี้จะถือว่า เป็นโชคร้ายของชะตากรรมประเทศไทยได้หรือไม่
ตอนหน้า ผมจะเจาะลึกถึงหลักสูตรของชั้นเรียน ป 7 ของเมืองกอลกัตตา อ่านแล้วอย่าร้องไห้ก็แล้วกัน