ซอกซอนตะลอนไป (12 พฤษภาคม 2567)
ไต้หวัน ผู้ปฎิเสธรากเหง้าตัวเอง(ตอน9)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
นักรบผู้ก่อการต่อต้านญี่ปุ่นชาวซิดดิค ถูกปราบปรามลงอย่างรวดเร็ว จำนวนนักรบผู้ต่อต้านค่อยๆลดลงเป็นลำดับ
วันที่ 28 พฤศจิกายน ปี 1930 โมนา รูดาโอ หัวหน้าชนเผ่าริดดิค ก็ทำการอัตวินิบาตกรรม หรือ การฆ่าตัวตาย ไม่มีบันทึกถึงเหตุผลในการฆ่าตัวตาย กระนั้น นักรบชนเผ่าที่เหลือก็ยังรวมตัวกันต่อสู้อย่างเหนียวแน่นต่อไปภายใต้การนำของผู้นำคนใหม่
จนกระทั่งปลายเดือนธันวาคม ปี 1930 กองทัพญี่ปุ่นก็ได้ชัยชนะในสงครามอย่างเด็ดขาด จากนักรบชนเผ่าซิดดิคที่ร่วมขบวนการต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่นจำนวน 1,200 คนเสียชีวิตไปทั้งสิ้น 644 คน
ที่เหลือเกือบ 600 คนเลือกที่จะปลิดชีพตัวเองโดยไม่ยอมให้ญี่ปุ่นจับตัวไปเป็นเชลย 290 คน เพราะรู้ว่า ญี่ปุ่นจะกระทำการหยามเกียรติพวกเขาอย่างไร
รัฐบาลญี่ปุ่นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเรื่องทิ้งระเบิดที่ละเมิดข้อตกลงเจนีวา ทำให้ผู้ว่าการทั่วไปของไต้หวันขณะนั้นคือ คามิยามา ต้องลาออกจากตำแหน่งในเดือนมกราคา ปี 1931 กระนั้นก็ตาม ญี่ปุ่นก็มิได้เปลี่ยนแนวคิดและวิธีการปกครองของตัวเองไปเลยแม้แต่น้อย
วันที่ 25 เมษายน ปี 1931 ทหารญี่ปุ่นโดยความร่วมมือจากชนเผ่าอื่นๆ ได้บุกเข้าไปที่หมู่บ้านซิดดิคอีกครั้ง จับผู้ชายที่มีอายุเกิน 15 ปีขึ้นไปทั้งหมดเพื่อตัดหัว
ทำให้ผมนึกถึงกรณีล้อมจับกลุ่มผู้ก่อการกบถบนภูเขาในป้อมมาซาดา(MASADA)ในปี 72-73 ซึ่งเป็นการล้อมจับนักรบชาวยิวกลุ่มสุดท้ายที่ต่อสู้กับพวกโรมัน ในพื้นที่ที่เป็นประเทศอิสราเอลปัจจุบันนี้
จากบันทึกของ ฟลาวิอุส โจเซฟุส(FLAVIUS JOSEPHUS) ชาวโรมันระบุว่า
หลังจากชาวยิวได้ทำสงครามยื้ดเยื้อต่อกองทัพโรมันอยู่ถึง 3 ปี เมื่อรู้ตัวว่าจะต้องพ่ายแพ้แน่นอนแล้ว ชาวยิวเหล่านี้ตัดสินใจเลือกเอาความตาย แทนที่จะให้ทหารโรมันจับไปเป็นทาส
วิธีการของพวกเขาก็คือ เขาจะแบ่งคนที่เหลือออกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 10 คน แล้วให้ในกลุ่มสิบคนเลือกคนที่แข็งแกร่งที่สุดมาหนึ่งคน ซึ่งคนๆนี้จะต้องทำหน้าที่ที่มีเกียรติสูงสุดก็คือ หน้าที่ในการสังหารคนที่เหลือทั้ง 9 คน
จากนั้น เอาคนที่เหลือมาจับกลุ่มเป็น 10 คนอีกครั้ง แล้วให้หนึ่งคนในกลุ่มทำหน้าที่สังหารคนที่เหลือ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนเหลือคนสุดท้าย ซึ่งจะต้องเสียสละอย่างใหญ่หลวงในการสังหารตัวเอง เพราะถือว่าเป็นการทำบาป
เป็นการจบชีวิตแบบวีรบุรุษอย่างที่เรียกว่า การตายเพื่อเกียรติยศ (HONOR KILLING)
กระนั้นก็ตาม นักวิชาการในยุคหลังมีความเห็นแย้งว่า ไม่น่าจะเป็นการฆ่าตัวตายทั้งหมดในแบบที่ โจเซฟุส ได้บันทึกไว้
การฆ่าตัวตายเพื่อเกียรติยศของตัวเองเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในประวัติศาสตร์โลก ที่โด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุดเห็นจะเป็นกรณีของ “พระนางคลีโอพัตรา ที่ 7” แห่งราชวงศ์ปโตเลมี ของอียิปต์
ตามประวัติศาสตร์ที่เล่าขานกันต่อๆมา เมื่อพระนางคลีโอพัตรารู้ว่า “มาร์ค แอนโทนี” คนรักของนางเสียชีวิตแล้ว พระนางมองเห็นภาพของตัวเองชัดเจนว่า จะเป็นอย่างไรเมื่อ “ออคเทเวียน” เดินทางเข้ามาถึงเมืองอเล็กซานเดรีย
พระนางเห็นภาพตัวเองอยู่ในกรงที่ถูกแห่ไปตามถนนในโรมเพื่อให้ชาวโรมันได้ถ่มน้ำลาย ปาก้อนหินและสิ่งของเน่าเหม็นมาใส่เธอ จนกว่าเธอจะตาย
พูดถึงไต้หวัน แต่ไปไกลถึงอียิปต์ และ โรมัน เลย
หลังจากที่ญี่ปุ่นปราบปรามพวกกบถที่เรียกว่า กบถวูเชอะ เรียบร้อยแล้ว การต่อสู้ขัดขืนของชาวไต้หวันก็ซาลงไปจนแทบจะสงบ ทำให้ญี่ปุ่นปกครองไต้หวันโดยมีเมืองหลวงอยู่ที่ เมืองไทโฮกุ หรือ กรุงไทเป ในปัจจุบันจนถึงปี 1945 เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงโดยญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และต้องถอยออกไป
ญี่ปุ่นปกครองไต้หวันนาน 50 ปีพอดี
พบกับเรื่องราวของไต้หวันตอนต่อไปในสัปดาห์หน้าครับ