ซอกซอนตะลอนไป (21 เมษายน 2567)
ไต้หวัน ผู้ปฎิเสธรากเหง้าตัวเอง(ตอน6)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
แม้กบถครั้งรุนแรงที่สุดที่เรียกว่า กบถซีไหล ที่เกิดขึ้นในปี 1915 หรือ 20 ปีหลังจากที่ญี่ปุ่นยึดครองไต้หวันอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจะถูกปราบปรามลงอย่างราบคาบ เพราะทั้งกำลังคน และ กำลังอาวุธของญี่ปุ่นเหนือกว่าของพวกบถมากมายหลายเท่า
แต่ชาวไต้หวัน โดยเฉพาะคนพื้นถิ่นชาวเกาะไต้หวันยังไม่ยอมรับการปกครองของญี่ปุ่น แต่เก็บความไม่พอใจเอาไว้เงียบๆ จนในที่สุดการก่อการกบถก็ได้ระเบิดขึ้นอีกครั้งในเดือนตุลาคม ปี 1930
เรียกว่า กบถวูเชอะ
หลังจากกบถซีไหลแล้ว กองทัพญี่ปุ่นผู้ยึดครองก็ดำเนินนโยบายหลายหน้าในเวลาเดียวกัน หน้าหนึ่งก็คือการตอบโต้ผู้ขัดขืนการปกครองของญี่ปุ่นอย่างรุนแรง หนักหน่วง
ชนเผ่าต่างๆที่กองทัพญี่ปุ่นมองว่า เป็นพวกป่าเถื่อนสุดๆ จะได้รับการปฎิบัติแบบคนป่าเถื่อน โดยไม่คิดว่า คนเหล่านี้ก็คือมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งก็คงไม่ต่างจากทัศนคติของคนอเมริกันต่อทาสผิวดำในอเมริกาว่าไม่ต่างอะไรจากสัตว์ที่พูดได้
ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นก็พยายามที่จะเข้าหาชนเผ่าเหล่านี้ ด้วยกันเข้าไปสนิทสนม ทำดีกับหัวหน้าเผ่า หรือ คนที่มีอิทธิพลทางความคิดของชนเผ่าเหล่านั้น จนถึงขั้นคัดเลือกคนจากเผ่าต่างๆจำนวน 43 เผ่าเพื่อเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น
แน่นอนว่า เพื่อไปล้างสมอง
ขณะเดียวกัน ก็ดำเนินนโยบายอีกด้านหนึ่งก็คือ การบีบให้ชนเผ่าต่างๆต้องเอาอาวุธที่ใช้ในการล่าสัตว์ในชีวิตประจำวันมาส่งมอบให้แก่ทหารญี่ปุ่น จากนั้นก็บีบให้ชนเผ่าที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยในป่าบนเขา ให้ย้ายลงมาอยู่บนพื้นราบใกล้เมือง เพื่อที่ทางการญี่ปุ่นจะสามารถเข้าไปสอดส่องความเคลื่อนไหวได้ง่าย
หนึ่งในผู้ที่ได้รับเชิญให้เดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นในปี 1911 ก็คือ โมนา รูดาโอ ซึ่งน่าจะเป็นลูกชายคนโตของหัวหน้าเผ่าซีดดิค ที่มีถิ่นที่อยู่อาศัยใกล้เมือง วูเชอะ
สาเหตุที่ญี่ปุ่นเลือกโมนา รูดาโอ จากเผ่าซีดดิค ไปเที่ยวญี่ปุ่นก็เพราะประเมินว่า ชนเผ่าซีดดิค ทำให้เชื่องได้ง่ายที่สุด แม้กระทั่งรายงานภายในกองทัพญี่ปุ่นเองก็ยกย่องผลงานของทหารที่ดูแลชนเผ่าซีดดิคว่า มีผลงานดีเยี่ยมในการทำให้ชนเผ่าซีดดิคเชื่องลงได้มากที่สุดในบรรดาชนเผ่าทั้งหมด
หลังจากกลับจากญี่ปุ่น โมนา รูดาโอ ก็ได้ขึ้นครองตำแหน่งหัวหน้าเผ่าซีดดิค ต่อจากบิดาของเขา ด้วยบุคลิกภาพที่มีความเด็ดขาดของเขา ไม่นานนัก โมนา รูดาโอ ก็กลายเป็นหัวหน้าเผ่าที่มีอิทธิพลทางความคิดต่อหัวหน้าชนเผ่าอื่นอย่างมากที่สุด
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจกับชนเผ่าต่างๆจะราบรื่นขึ้น กระนั้นก็ตาม ในระดับที่ใกล้ชิดกับชาวบ้านก็ยังมีปัญหากันอยู่เนืองๆ เพราะตำรวจในท้องถิ่นวูเชอะ ยังคงใช้มาตรการโหดกับชนเผ่าเหล่านี้ ตำรวจส่วนใหญ่ยังปฎิบัติกับชนเผ่าอย่างไม่ให้เกียรติ บางครั้งก็กระทำการลบหลู่ประเพณี และ ความเชื่อที่ยาวนานของชนเผ่าด้วย
ในเมื่อทัศนคติของญี่ปุ่นในการยึดครองไต้หวันยังไม่เปลี่ยนแปลง สถานการณ์ที่ดูจะไม่มีอะไรก็เพียงแต่รอวันระเบิดเท่านั้น
แล้ววันนั้นก็มาถึง
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ