ซอกซอนตะลอนไป (11 กันยายน 2565)
ฆาตรกรรมต่อเนื่อง รายา และ ซากินา ของอียิปต์ (ตอน2)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
คดี รายา-ซากินา ทำท่าว่าจะจบลงแบบไม่จบ เพราะไม่สามารถตามหาผู้สูญหายได้ จึงไม่มีข้อสรุปว่า ผู้สูญหายได้เสียชีวิตไปแล้วหรือไม่
แต่เหมือนโชคช่วย ซึ่งคนไทยก็คงจะบอกว่า วิญญาณผู้ตายมาร้องขอความเป็นธรรม หรือ มาชี้ช่องให้ตำรวจ
ซากินา ย้ายบ้านเช่าจากที่เดิมไปสู่สถานที่ใหม่ และ บังเอิญว่า เจ้าของบ้านเช่าเดิมซึ่งเป็นคนตาบอดต้องการจะวางระบบท่อประปาภายในบ้านใหม่ จึงให้ช่างมาขุดพื้นภายในบ้านเพื่อจะวางท่อ

(ในวันที่มีแสดงแดดอบอุ่น อเล็กซานเดรีย ก็จะเป็นเหมือนสวรรค์ของผู้มีอันจะกิน แต่คงจะห่างไกลจากชีวิตของ รายา และ ซากินา)
ในขณะที่ขุดพื้นภายในบ้าน จอบของช่างก็ไปกระทบกันวัตถุแข็งๆเข้าโดยบังเอิญ หลังจากนั้น ช่างก็ทำการขยายพื้นที่ขุด เพื่อดูว่า อะไรคือวัตถุเข็งๆนั้น
ก็พบว่า อันที่จริงก็คือโครงกระดูกของมนุษย์
ตำรวจเดินทางมาถึงบ้านหลังนี้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น เป้าหมายต่อไปก็คือ บ้านใหม่ของ ซากินา
เมื่อตำรวจไปถึงบ้านของซากินา ก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกๆเหมือนจะปิดบังอะไรบางอย่างไว้ เพราะในบ้านของเธอจะตลบอบอวลด้วยกลิ่นน้ำหอมที่ปะพรมเอาไว้อย่างมาก มากจนผิดปกติ ซึ่งหลังจากตำรวจตรวจค้นอย่างละเอียดก็พบว่า กลิ่นน้ำหอมดังกล่าวก็เพื่อจะกลบกลิ่นเหม็นเน่าของทรากศพที่เธอฝังอยู่ใต้พื้นบ้านของเธอเอง

(อ่าวอเล็กซานเดรีย ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของพระราชวังของพระนางคลีโอพัตรา และเกาะด้านหน้า ก็เคยเป็นที่ตั้งของประภาคารแห่งอเล็กซานเดรีย ที่ถูกจัดอันดับว่า เป็นหนึ่งในเจ็ดของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ)
เมื่อพบศพ ตำรวจจึงทำการจับกุมตัวสองพี่น้อง รายา กับ ซากินา พร้อมทั้งสามีของทั้งสองไปสอบสวนที่โรงพัก พร้อมด้วยของกลางเช่น บรรดาเครื่องประดับที่ทำด้วยทองคำ และ เพชรนิลจินดาต่างๆ
ทั้งสี่ต่างก็ซัดทอดกันไปมาซึ่งกันและกัน จนวุ่นวายไปหมดว่าคนนั้นคนนี้เป็นผู้ลงมือ แต่ตัวเองไม่มีส่วนร่วม

(ภาพที่ได้จากการขุดค้นทางโบราณคดีใต้น้ำในบริเวณอ่าวอเล็กซานเดรีย ทำให้พบทรากโบราณสถาน และ รูปสลักที่ยืนยันว่าเป็นส่วงนหนึ่งของพระราชวังของพระนางคลีโอพัตรา – ภาพจากกูเกิ้ล)
มีเพียงคนเดียวที่นิ่งเงียบ แต่ภายใต้ดวงตาของเธอบอกว่า เธอกำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่างอยู่ เธอคนนั้นก็คือ บาเดีย(BADIA) ลูกสาววัย 10 ขวบของรายา
การสอบสวนกินเวลาหลายเดือน โดยไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก แต่สุดท้ายผู้ที่ปิดคดีนี้ได้ก็คือ บาเดีย นั่นเอง เธอให้การว่า เธอแอบดูเหตุการณ์ต่างๆผ่านรอยแตกของผนังห้อง และ เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
แต่ที่เธอนิ่งเงียบมาโดยตลอดเพราะบรรดาผู้ใหญ่ในบ้าน รวมทั้งมารดาของเธอได้ขู่เธอเอาไว้ว่า หากเธอเอ่ยปากพูดเมื่อใด เธอจะพบจุดจบเช่นเดียวกับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่เธอได้เห็นชะตากรรมของคนเหล่านั้น
ตำรวจต้องเกลี่ยกล่อมให้บาเดีย เปิดปากพูดถึงสิ่งที่เธอเห็น และ รับปากว่าจะให้การคุ้มครองแก่เธอในฐานะพยานปากเอก โดยให้เธอไปพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่า สังคมรอบข้างของเธอที่แม้ว่าจะมีฐานะเป็นญาติทางสายเลือดก็ตาม ต่างก็มีความ เครียดแค้นต่อเธอเป็นอย่างมาก
และกล่าวหาว่าเธอเป็นลูกทรยศแม่ และ ต้องการจะแก้แค้นแทนรายา ผู้เป็นแม่

(ซากินา(ซ้าย) และ รายา (ขวา))
หลังจากนั้นอีก 3 ปี หลังจากบาเดียให้การปักปรัมมารดาของเธอ ก็เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้โรงแรมที่พักที่เธออาศัยอยู่ จนทำให้เธอเสียชีวิต
ว่ากันว่า ผู้วางเพลิงจนทำให้เธอเสียชีวิตก็คือ บรรดาญาติทางฝ่ายมารดาของเธอนั่นเอง
วันที่ 21 ธันวาคม ปีค.ศ. 1921 หนึ่งปีหลังจากรายา และ ซากินา และพวกถูกจับกุม ผู้ร่วมก่อการทุกคนถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอตามคำสั่งของศาล
นับเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์อียิปต์ยุคใหม่ ที่มีการลงโทษประหารชีวิตต่อผู้ก่ออาชญากรรมที่เป็นผู้หญิง

(เครื่องแต่งกายของสุภาพสตรีอียิปต์ที่อยู่ในระดับกลางต่ำ ซึ่งรายา และ ซากินา ก็คงจะแต่งกายประมาณนี้- ภาพจากกูเกิ้ล)

ในตอนหน้า ผมจะเอารายละเอียดในการก่ออาชญากรรมของสองพี่น้อง และ ปูมหลังที่ทำให้ทั้งสองก่ออาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของอียิปต์มาเล่าสู่กันฟังครับ
สวัสดีครับ