ซอกซอนตะลอนไป (12 มิถุนายน 2565)
โคตรอภิมหาเศรษฐีผู้มีคุณธรรม(ตอน11-จบ)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
หากผมจะจบบทความหลายตอนต่อเนื่องเรื่อง “โคตรอภิมหาเศรษฐีผู้มีคุณธรรม” ซึ่งเป็นเรื่องราวของอภิมหาเศรษฐีตระกูลตาต้าของอินเดียไปโดยไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ผมจะพูดถึงต่อไปนี้ บทความนี้ก็คงจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์แบบแน่นอน
เพราะสิ่งที่ทำให้ตระกูลตาต้า แตกต่างจากตระกูลพ่อค้านักธุรกิจทั่วโลก ก็คือ ความมีจริยธรรม และ ความมีคุณธรรม ของเขานั่นเอง
ตอนที่โรงแรมทัชมาฮาล พาเลซ ที่มุมไบ ของตระกูลตาต้า ถูกผู้ก่อการ้ายบุกเข้าไปกราดยิงไม่เลือกหน้าจนทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 31 คนเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน ปีค.ศ.2008 นั้น ราทาน ตาต้า ในฐานะผู้บริหารตาต้า กรุ๊ป ได้เข้าไปรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
เขาสั่งให้บริษัทจ่ายเงินค่าชดเชยความเสียหายให้แก่ครอบครัวของแขกที่มาพัก แล้วได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศ พนักงานของโรงแรมที่ได้รับผลกระทบเช่น พ่อแม่เสียชีวิต ตำรวจที่เข้าไประงับเหตุและบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แม้กระทั่งคนที่เดินผ่านโรงแรมและได้รับบาดเจ็บเสียชีวิต
เขายังจ่ายเงินชดเชยให้แก่บุคคลผู้ได้รับผลกระทบเหล่านี้แม้จนทุกวันนี้
เดือนมกราคม พ.ศ. 2565 หลังจากตาต้า กรุ๊ป ชนะประมูลสายการบินแอร์ อินเดีย จากรัฐบาลมาเป็นบริษัทในเครือ พนักงานของแอร์ อินเดียแทบทุกคนก็ว่าได้ นอนไม่หลับ เพราะไม่มีความแน่ใจในอนาคตของตัวเองว่า เจ้าของคนใหม่จะมีนโยบายอย่างไร จะไล่ออก หรือ ลดเงินเดือน
เพราะสายการบินแอร์ อินเดีย ประกอบการขาดทุนมาโดยตลอดจนหนี้สินล้นพ้นตัว
นอกจากนี้ แอร์ อินเดีย ยังมีชื่อเสียงที่ไม่ดีในหมู่ผู้โดยสารทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศว่า เป็นสายการบินที่มีมาตรฐานต่ำ ทั้งความตรงเวลา และ การบริการ
จนกลายเป็นจุดบอดของสายการบินแอร์ อินเดีย และ ในที่สุดแอร์ อินเดีย ก็ไม่อาจทำธุรกิจต่อไปได้ เมื่อมีสายการบินอื่นๆที่เป็นของเอกชนมาแข่งขัน
ปัญหาส่วนหนึ่งของแอร์อินเดีย มันเหมือนงูกินหาง คือบริการแย่มากเพราะพนักงานเงินเดือนต่ำ หรือ เพราะพนักงานเงินเดือนต่ำ(เพราะสายการบินขาดทุน)จึงไม่สามารถทำงานให้ดีได้
ผมเคยใช้สายการบินนี้ช่วงในประเทศอินเดีย บอกได้เลยว่า แย่จริงๆจนต้องหนีไปใช้สายการบินเอกชนในที่สุด
แต่สิ่งที่ราทาน ตาต้า เลือกที่จะทำ กลายเป็นสิ่งที่พนักงานแอร์ อินเดีย คิดไม่ถึง
ข่าวเท่าที่ทราบ นอกจากเขาไม่ปลดใครออกแล้ว เขายังเพิ่มเงินเดือนให้พนักงานเท่าที่เหลือ และน่าจะมีการพูดทำความเข้าใจกับพนักงานให้ทำงานให้แก่องค์กรอย่างจริงจัง มากกว่าที่เคยทำมาก่อน
เป็นสิ่งที่ต้องรอดูผลงานของการปฎิรูปองค์กรที่ได้รับการกล่าวขานว่า แย่ที่สุดแห่งหนึ่งของอินเดีย ว่าจะสามารถพลิกฟื้นกลับคืนมาได้หรือไม่
ท่านผู้อ่านที่ติดตามบทความเรื่อง “โคตรอภิมหาเศรษฐีผู้มีคุณธรรม” จนถึงตอนสุดท้าย ก็คงจะเกิดคำถามว่า ตระกูลตาต้าน่าจะเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดของอินเดีย แต่ไม่ใช่ครับ เพราะตระกูลที่ร่ำรวยกว่าตระกูลตาต้า ก็คือ ตระกูล อัมบานี ตามที่ผมได้พูถึงในตอนที่แล้ว
แต่เชื่อมั้ยครับว่า บริษัท ตาต้ากรุ๊ป(บางกระแสก็บอกว่า บริษัท ตาต้า ซันส์) ได้แบ่งเงินกำไรจากการดำเนินธุรกิจจำนวน 66 เปอร์เซนต์ ให้แก่องค์กรการกุศลต่างๆทุกปี
การบริจาคเงินจำนวนมากมายขนาดนี้ ตระกูลตาต้า ได้ทำมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ว่ากันว่า ตั้งแต่สมัยของ จัมเซตจิ ตาต้า ผู้ก่อตั้งบริษัท ตาต้า กรุ๊ป
ลองคิดดูนะครับว่า หากตระกูลตาต้า ไม่บริจาคกำไรจากการทำธุรกิจของตนเองจำนวน 66 เปอร์เซนต์ให้แก่การกุศลทุกปี ตระกูลตาต้า จะมีความมั่งคั่งขนาดไหน
อันที่จริง เศรษฐีในโลกนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน แต่จะมีเศรษฐีสักกี่คนที่มีสำนึกในความรักต่อเพื่อนมนุษย์ อย่างเช่นตระกูลตาต้า และ อีกหลายๆตระกูลในอินเดีย
โลกคงจะน่าอยู่เพิ่มขึ้นอีกเยอะ หากเศรษฐีเหล่านี้จะลดความละโมบลง แม้จะแค่เศษส่วนเล็กน้อยของที่ตระกูลตาต้าได้ทำ
สวัสดี