ซอกซอนตะลอนไป (24 เมษายน 2565)
โคตรอภิมหาเศรษฐีผู้มีคุณธรรม(ตอน4)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
จัมเซตจิ ตาต้า เป็นคนมีวิสัยทัศน์ เขามีความคิดใหญ่ๆอยู่ 4 เรื่องตลอดชีวิต 65 ปีของเขา
หนึ่ง เขาตั้งใจที่จะสร้างโรงงานถลุง และ ผลิตเหล็ก อาจเป็นเพราะเขาเกิดในยุคที่การปฎิวัติอุตสาหกรรมเพิ่งจะอุบัติขึ้น ความต้องการเรื่องเหล็กจึงเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษกว่าปกติ
ในที่สุด เขาก็สร้างโรงงานถลุงเหล็กขึ้น และ กลายเป็นพื้นฐานสำคัญที่แข็งแกร่งของธุรกิจในตระกูลตาต้าในเวลาต่อมา
สอง เขาต้องการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ เพื่อสร้างพลังงานที่สะอาดเพื่อโลก คิดดูนะครับ คนในยุคร้อยกว่าปีที่แล้ว จะคิดถึงเรื่องเช่นว่านี้ได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำโครงการนี้ให้สำเร็จในช่วงชีวิตของเขา แต่ เซอร์ ดอรับจิ ตาต้า(SIR DORABJI TATA) ลูกชายของเขาก็สามารถสานงานต่อจนสำเร็จในเวลาต่อมา
สาม เขาต้องการสร้างสถาบันการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์ในระดับโลก เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาอินเดียในอนาคต ส่วนตัวเขาเองยังได้บริจาคเงิน 3 ล้านรูปีซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาลในยุคนั้นในการก่อตั้ง สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งอินเดีย(THE INDIAN INSTITUTE OF SCIENCE) ขึ้นที่เมืองบังกาลอร์ ในปีค.ศ.1892 ตรงกับพ.ศ. 2435 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
แนวคิดนี้จัมเซตจิ ได้รับอิทธิพลมาจาก สวามี วิเวกอนันดา (SWAMI VIVEKANANDA) ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณของฮินดูยุคใหม่ ที่เปิดกว้างทางความคิดอย่างก้าวล้ำไปในอนาคต
จะเห็นว่า อินเดียมีพัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์ไปไกลล้ำหน้ากว่าประเทศไทยมากทีเดียวตั้งแต่กว่าร้อยปีที่แล้ว และแม้จนทุกวันนี้ เพราะฉะนั้น เราต้องหยุดมองอินเดียว่าเป็นชาติด้อยพัฒนาได้แล้ว
ปัจจุบัน สถาบันวิทยาศาสตร์นี้ กลายเป็นสถาบันแนวหน้าทางวิทยาศาสตร์หนึ่งในห้าของอินเดีย มีนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นที่เรียนจบจากที่นี่ เช่น ประธานองค์กรวิจัยทางด้านอวกาศแห่งอินเดีย (INDIAN SPACE RESERCH ORGANISATION)
สี่ เขาต้องการจะสร้างโรงแรมชั้นนำระดับโลกขึ้น
ตำนานเล่าว่า วันหนึ่งจัมเซตจิ ซึ่งขณะนั้นเป็นนักธุรกิจที่มีฐานะดีได้เดินเข้าไปในโรงแรมวัตสัน ในเมืองบอมเบย์ ซึ่งเป็นโรงแรมระดับแนวหน้าของยุคที่มีชาวอังกฤษเป็นเจ้าของ
พนักงานปฎิเสธไม่ให้เขาเข้าไปในโรงแรม ไม่ใช่เพราะว่าเขาแต่งตัวไม่ดี แต่ด้วยเหตุผลว่า โรงแรมนี้ต้อนรับเฉพาะชาวยุโรป และ เขาเป็นชาวอินเดีย
จัมเซตจิ รู้สึกโกรธกับเรื่องนี้มาก แต่ก็ยอมถอยออกมา
กรณีแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับกรณีสวนสาธารณะในเมืองเซี่ยงไฮ้ในยุคเดียวกัน ที่มีป้ายเขียนไว้ตรงทางเข้าว่า “หมาและคนจีนห้ามเข้า”
เขาจึงตั้งใจไว้ตั้งแต่วันนั้นว่า จะสร้างโรงแรมของตัวเองสักโรงหนึ่ง ให้เป็นโรงแรมที่ดีกว่า โรงแรมวัตสันด้วยซ้ำ
เขาจึงเริ่มแผนการสร้างโรงแรมระดับ 5 ดาวเป็นแห่งแรกของอินเดีย ตั้งอยู่ริมถนนชายทะเลของเมืองบอมเบย์ ด้วยเจตนาที่จะให้โรงแรมแห่งนี้เป็นหน้าเป็นตาของเมือง และ ของประเทศ
ที่สำคัญก็คือ ต้องการจะตบหน้าบรรดาพวกอังกฤษยะโสที่ห้ามคนอินเดียเข้าไปในโรงแรมของชาวอังกฤษ และเพื่อยืนยันว่า คนอินเดียสามารถเป็นเจ้าของโรงแรมที่เหนือชั้นกว่าโรงแรมของคนอังกฤษด้วยซ้ำ
โรงแรมนี้มีชื่อว่า ทัช มาฮาล พาเลซ (TAJ MAHAL PALACE HOTEL) เปิดบริการเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ปีค.ศ. 1903 เป็นโรงแรมที่ จัมเซตจิ ตาต้า ได้เข้าไปชื่นชมความยิ่งใหญ่ด้วยตัวเองก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปีถัดมา
ปีค.ศ. 1911 กษัตริย์จอร์จ ที่ 5 แห่งอังกฤษ ได้เสด็จเยือนอินเดีย ซึ่งเป็นอาณานิคมที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษเป็นครั้งแรก โดยพระองค์เสด็จขึ้นฝั่งที่ท่าเรือเมืองบอมเบย์
หลังจากนั้น รัฐบาล บริติช ราช ซึ่งปกครองอินเดียอยู่จึงมีดำริจะสร้างประตูชัยขึ้น เพื่อเป็นการรำลึกถึงการเสด็จเยือนอินเดียของพระองค์ นัยยะก็คือ เป็นการประกาศชัยชนะในการยึดครองอินเดีย
ประตูชัยแห่งนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 1924 และ ตั้งอยู่ด้านหน้าของโรงแรม ทัช มาฮาล พาเลซ พอดี
ปีค.ศ. 1948 กองทัพชุดสุดท้ายของอังกฤษต้องเดินทางลงเรือตรงท่าประตูชัยแห่งนี้เพื่อออกจากอินเดียหลังจากอินเดียประกาศอิสรภาพ
ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า มีชาวอินเดียมากน้อยแค่ไหนที่เช่าโรงแรม ทัช มาฮาล พาเลซ เพื่อดูกองทัพของอังกฤษถอนออกไปในสภาพของผู้แพ้
ผมเชื่อว่า ในวันนั้น ดวงวิญญาณของจัมเซตจิ ตาต้า และ บรรดาลูกหลานของเขาคงจะยืนมองจากโรงแรม ทัช มาฮาล พาเลซ ดูทหารอังกฤษถอนออกไปด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมแน่นอน
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ