ซอกซอนตะลอนไป (10 เมษายน 2565)
โคตรอภิมหาเศรษฐีผู้มีคุณธรรม(ตอน2)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ชาวฟาร์ซีได้ชื่อว่า มีความเชี่ยวชาญในเรื่องวิชาคำนวณ และ คณิตศาสตร์ในสาขาต่างๆ จึงไม่แปลกที่ชาวฟาร์ซีจะได้รับการต้อนรับให้เข้ามาทำงานในอินเดีย และ ประเทศไทยมาเป็นเวลาช้านานแล้ว
ตระกูล เปสตันยี ก็เป็นเชื้อสายของฟาร์ซีเหมือนกัน
งานที่ชาวฟาร์ซีทำก็มักจะเป็นงานในระดับมันสมอง ต้องใช้การคิดคำนวน บางคนถึงกับทำงานในราชสำนักเลยก็มี สายตระกูลบุนนาค ซึ่งต้นตระกูลก็คือ “เฉก อะหมัด” มีต้นกำเนิดมาจากเปอร์เซียเมื่อกว่า 400 ปีแล้ว ก็น่าจะมีเชื้อสายฟาร์ซีเช่นกัน
ดั่งเดิมทีเดียว ตาต้าเป็นตระกูลนักบวชในศาสนาโซโรแอสเทรียน ที่เน้นหนักในการประกอบพิธีให้สมาชิกคนอื่นๆในสังคม จึงมีฐานะการเป็นอยู่ปานกลาง แต่ก็ไม่จน หากแต่พวกเขาจะได้รับการเคารพนับถืออย่างมากจากแวดวงสังคม

(พิธีกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่งของ ชาวฟาร์ซี ที่เรียกว่า นาฟโจต – ภาพจาก THE GARDIAN)
ในอดีต ทุกคนในตระกูลตาต้าจะทำงานเป็นนักบวชมาตลอด แต่เมื่อเวลาผ่านไป โลกเปลี่ยนไป ก็เริ่มจะมีการค้าขายบ้าง โดยเฉพาะในรุ่นของบิดาของ จัมเซตจิ ตาต้า(JAMSETJI TATA) ผู้ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของตระกูล และ เปลี่ยนโฉมหน้าของประเทศอินเดียไปตลอดกาล

(ภาพถ่ายของตระกูล จัมเซตจิ ตาต้า- ภาพจากกูเกิ้ล)
นัสเซอร์วานจิ บิดาของ จัมเซตจิ ซึ่งเริ่มทำธุรกิจค้าขายกับต่างประเทศสังเกตเห็นว่า ลูกชายของเขา จัมเซตจิ มีความสามารถในเชิงวิชาคำนวณ และ คณิตศาสตร์ที่ดีมาก นัสเซอร์วานจิ จึงส่ง จัมเซตจิเข้าเรียนในโรงเรียนที่ให้การศึกษาแบบตะวันตก
ถือเป็นคนแรกของตระกูลตาต้า ที่ได้รับการศึกษาสมัยใหม่เช่นนี้

(วิทยาลัย เอลฟินสโตน ในเมืองมุมไบ ภาพจาก อินเตอร์เน็ต)
จากนั้นบิดาของเขาก็ส่งเขาไปเรียนที่ วิทยาลัย เอลฟินสโตน (ELPHINSTONE COLLEGE) ในเมืองบอมเบย์ หรือ มุมไบในปัจจุบัน ซึ่งครอบครัวของเขาอาศัยอยู่
ต่อมาในปีค.ศ. 1853 ตอนอายุ 14 ปี จัมเซตจิก็เข้ามาช่วยบิดาทำงานพาร์ทไทม์ จนกระทั่งเขาเรียนสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัย เอลฟินสโตนในปีค.ศ. 1858 จึงเริ่มทำงานอย่างจริงจังกับบิดาของเขา
ก่อนหน้านั้น 1 ปี คือ ปีค.ศ. 1857 เกิดการลุกฮือครั้งใหญ่ของชาวอินเดียเพื่อเรียกร้องอิสรภาพจากอังกฤษ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เรียกขานกันในเวลาต่อมาว่า “กบถซีปอย” ทำให้เกิดการสังหารชาวฮินดูครั้งมโหฬารกว่า 1 แสนคน เศรษฐกิจอินเดียย่ำแย่ลง จึงเป็นการยากที่จะทำธุรกิจในประเทศ
จัมเซตจิ จึงช่วยบิดาในการขยายธุรกิจไปสู่ต่างประเทศหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ยุโรป และ สหรัฐอเมริกา นับเป็นก้าวย่างที่สำคัญในการก้าวสู่บริษัทนานาชาติในอนาคต
นั่นคือเมื่อ 163 ปีที่แล้ว ตรงกับปีพ.ศ. 2401 ซึ่งอยู่ในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4
ขณะนั้นจัมเซตจิ มีอายุ 19 ปี

(ใบแสดงการถือหุ้นของโรงงาน อเล็กซานดร้า มิลล์ – ภาพจากตาต้ากรุ๊ป)
เมื่ออายุได้ 28 ปี เขาแยกตัวออกมาจากบริษัทบิดา และเริ่มก่อตั้งบริษัทเทรดดิ้งของตนเองด้วยทุนจดทะเบียน 21,000 รูปี ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมากโขอยู่ มีค่าเทียบประมาณ 52 ล้านยูเอสดอลล่าร์ในปีค.ศ. 2015
การปฎิวัติอุตสาหกรรมของอังกฤษ ที่เริ่มมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1760 และพัฒนาต่อเนื่องจนมาถึงปีค.ศ. 1850 ได้ขยายออกไปสู่อเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่น ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งรุนแรงต่อการผลิต สังคม เศรษฐกิจ และ วัฒนธรรมแบบดั่งเดิมอย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมทอผ้า แบบเดิมที่ต้องพัฒนาจากการทอมือมาสู่การทอด้วยเครื่อง

(โรงงานทอผ้า อเล็กซานดร้า – ภาพจาก ตาต้ากรุ๊ป)
ปีค.ศ. 1869 ขณะที่อายุ 30 ปี เขาซื้อโรงกลั่นน้ำมันที่กำลังจะล้มละลายที่เมือง ชินโปคลี แล้วเปลี่ยนโรงงานนี้ให้กลายเป็นโรงงานทอผ้า ชื่อ โรงงานทอผ้าอเล็กซานดร้า หลังจากนั้นอีกเพียง 2 ปี เขาก็ขายโรงงานนี้ไปด้วยกำไรมหาศาล
เริ่มจับธุรกิจของตัวเอง ก็มีโชคเสียแล้ว

ติดตามตอนต่อไปในสัปดาห์หน้าครับ