ซอกซอนตะลอนไป (14 มีนาคม 2564)
การศึกษาอินเดีย ทิ้งไทยไม่เห็นฝุ่น(ตอน 6)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ฐานรากสำคัญในการพัฒนาทางการศึกษา ที่อังกฤษได้วางเอาไว้ให้แก่อินเดีย ที่ผมได้พูดถึงในตอนที่ 2 ว่า ประกอบด้วย การก่อตั้งสมาคม เอเชียติค ในปีค.ศ.1784 หรือ พ.ศ. 2327 , การสร้างพิพิธภัณฑ์ กอลกัตตาในปีค.ศ.1814 หรือ พ.ศ.2357 , การสถาปนาวิทยาลัยการแพทย์ในปีค.ศ. 1835 หรือ พ.ศ. 2377 และ การก่อตั้งมหาวิทยาลัยกัลกัตตา ในปีค.ศ. 1857 หรือ พ.ศ. 2400
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นที่เมืองกัลกัตตา เพราะอังกฤษสถาปนาเมืองกัลกัตตาให้เป็นเมืองหลวงของอินเดียเรื่อยมาจนกระทั่งย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมืองเดลี ในปีค.ศ. 1911
วันนี้ ผมจะพูดถึงเรื่องการสร้างพิพิธภัณฑ์กัลกัตตา ครับ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ถูกสถาปนาขึ้นในปีค.ศ. 1814 หรือ เมื่อประมาณ 206 ปีที่แล้ว โดยสมาคมเอเชียติค เพราะหลังจากที่สมาคมสามารถเก็บรวบรวมจารึกโบราณ และ วัตถุโบราณ ได้มากมายก็ต้องการจะหาสถานที่เก็บรักษาให้ดี
นอกเหนือจากที่ขนกลับไปที่อังกฤษแล้ว
พิพิธภัณฑ์นี้ ถูกบันทึกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดเป็นลำดับที่ 9 ของโลก และเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ และ ใหญ่ที่สุดของอินเดีย
เก่าแก่กว่า พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติของสัตว์ ที่พระเจ้าปีเตอร์มหาราช แห่งรัสเซีย ได้สร้างขึ้นในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ถึง 24 ปี และ เก่าแก่กว่า พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอียิปต์ที่ไคโรถึง 87 ปี
พิพิทภัณฑ์กัลกัตตา ประกอบด้วยโบราณวัตถุ ที่จัดแบ่งเป็นยุคสมัย เช่น ห้องยุคอินเดียโบราณ , ห้องโบราณวัตถุในยุคบรอนซ์ , ห้องรวบรวมเหรียญโบราณในยุคต่างๆ , ห้องโบราณวัตถุยุคคันธาราฐ และ ที่ขาดไม่ได้ก็คือ
ห้องรวมโบราณวัตุจากอียิปต์ ที่อังกฤษไปขนออกมา
พิพิธภัณฑ์ ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของโลกยุคใหม่ เป็นการเก็บรักษาอดีต เพื่อใช้ศึกษาในการก้าวไปสู่อนาคต เป็นสถานที่ส่งผ่านความรู้ของบรรพบุรุษ ไปสู่อนุชนรุ่นหลัง เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มั่นคง แข็งแรง และ ผู้สนใจสามารถเข้าถึงได้อย่างลึกซึ้ง แบบจับต้องได้ มากกว่าแค่การอ่านหนังสือเท่านั้น
ดังนั้น การพิจารณาว่าชาติใดเป็นชาติอารยะ สามารถพิจารณาได้จากว่า ชาตินั้นๆให้ความสำคัญ และ ทุ่มเทในการสร้างพิพิธภัณฑ์มากน้อยแค่ไหน
ชาติไม่มีอะไรที่สำคัญเพียงพอที่จะเอามาแสดงในพิพิธภัณฑ์ได้ ก็แน่นอนว่า ชาตินั้นคงจะเป็นชาติเกิดใหม่ ไร้อารยธรรม
ต่อมาในปีค.ศ.1835 หรือ พ.ศ. 2377 อังกฤษก็ได้สร้าง วิทยาลัยการแพทย์ขึ้นที่กัลกัตตา ถือเป็นวิทยาลัยการแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุดเป็นแห่งที่สองของเอเชีย ตามหลัง วิทยาลัยการแพทย์ที่เมือง ปอนดิเชอรี่ ประเทศอินเดีย และเป็นสถาบันการแพทย์แห่งแรกที่สอนด้วยภาษาอังกฤษ
วิทยาลัยแห่งนี้จะมอบปริญญาตรีให้แก่ผู้เรียนจบวิชาแพทย์ และ ผ่านการเป็นแพทย์ฝึกหัดแล้วรวมเวลาทั้งสิ้น 5 ปีครึ่ง จนทำให้มีแพทย์ที่เป็นสุภาพสตรีเป็นคนแรกของเอเชีย คือ คาดามบินี กังกุลี (KADAMBINI GANGULY) ตั้งแต่ปีค.ศ. 1878 หรือ พ.ศ. 2421
แน่นอนว่า ย่อมจะต้องมีโรงพยาบาลสำหรับรักษาคนไข้อยู่ในวิทยาลัยแห่งนี้ด้วย
จะเห็นว่า รากฐานทางด้านสาธารณสุข และ การแพทย์ที่อังกฤษได้วางเอาไว้ให้แก่อินเดียนั้น มีประสิทธิภาพอย่างดียิ่งทีเดียว แม้ว่า เวลาในการศึกษาวิชาแพทย์ของอินเดีย จะน้อยกว่าการศึกษาวิชาแพทย์ในประเทศไทยถึง 1 ปีครึ่งทีเดียว
เพราะของไทยจะต้องเรียนนาน 6 ปี และ จะต้องเป็นแพทย์ฝึกหัดอีก 1 ปี รวมเป็น 7 ปี
เพื่อยืนยันว่า การแพทย์ของอินเดียมีความเจริญอย่างมากนั้น วัดได้จากจำนวนของแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกาทั้งหมด ไม่น่าเชื่อว่า จะเป็นแพทย์ชาวอินเดียประมาณ 40 เปอร์เซนต์
รวมถึงจำนวนแพทย์ชาวอินเดียในประเทศอังกฤษด้วย ที่มีจำนวนร่วม 2 หมื่นคนแล้วในขณะนี้
อาจพูดได้ว่า หากแพทย์ในอเมริกาเชื้อสายอินเดีย พร้อมใจกันลาออกแล้วเดินทางกลับบ้าน นึกไม่ออกว่า คนอเมริกันจะโกลาหลกันขนาดไหน ภาพความโกลาหลน่าจะพอๆกันแรงงานต่างชาติ เช่น พม่า ลาว เขมร ในประเทศไทย เดินทางกลับบ้านพร้อมๆกันประมาณนั้นเลยทีเดียว
นี่คือสาเหตุอันหนึ่งที่ทำให้ระบบการศึกษาของอินเดียมีความเจริญก้าวหน้าไปอย่างไม่น่าเชื่อ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ผมจะพูดถึงพื้นฐานที่ 4 ที่เป็นรากฐานสำคัญทางการศึกษาของอินเดียครับ
สำหรับท่านที่ต้องการอ่านบทความ “ซอกซอนตะลอนไป” ย้อนหลังทั้งหมด 6 ปี สามารถไปที่ www.whiteelephanttravel.co.th แล้วไปที่ blog “ซอกซอนตะลอนไป” ได้ครับ
สวัสดีครับ