ซอกซอนตะลอนไป (14 กุมภาพันธ์ 2564)
การศึกษาอินเดีย ทิ้งไทยไม่เห็นฝุ่น(ตอน 2)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ระบบการศึกษาของอินเดีย แบ่งออกเป็น 3 แบบหลัก คือ โรงเรียนรัฐบาลเต็มตัว คือ รัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ผู้ปกครองแทบจะไม่ต้องจ่ายเงินเลย สอง โรงเรียนที่รัฐบาลให้การสนับสนุนบางส่วน สาม โรงเรียนเอกชนเต็มรูปแบบ
ในที่นี้ ผมจะไม่พูดถึงโรงเรียนเอกชนเต็มรูปแบบ เพราะโรงเรียนแบบนี้มีมาตรฐานสูงตามค่าใช้จ่ายสูงที่ผู้ปกครองจ่ายไป
โรงเรียนที่ ANUSHKA ลูกสาวของเพื่อนผมไปเรียนนั้น เป็นโรงเรียนประเภทที่สอง กล่าวคือ ผู้ปกครองยังต้องจ่ายเงินอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก (โรงเรียนนี้อยู่ในรัฐเบงกอล ที่อาจจะมีระเบียบแตกต่างไปจากรัฐอื่นๆอยู่บ้าง)
กล่าวคือ ผู้ปกครองยังต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกเดือนละ 2300 รูปี บวกกับค่าใช้จ่ายจุกจิกอื่นๆอีกประมาณ 700 รูปี รวมเป็น 3000 รูปี หรือประมาณ 1500 บาท เป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับโรงเรียนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
ค่าใช้จ่ายนี้ รวมทั้งค่ารถรับส่งระหว่างบ้านและโรงเรียนด้วย แต่ไม่มีอาหารกลางวัน
โรงเรียน CHRIST CHURCH HIGH SCHOOL ของเมืองกอลกัตตา นอกจากจะมีนักเรียนชาวอินเดียแล้ว ยังมีนักเรียนจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และ อีกหลายๆประเทศที่ส่งลูกหลานมาที่นี่ เพราะเป็นโรงเรียนที่ก่อตั้งโดยชาวอังกฤษมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1882
และสำหรับผู้ที่เรียนโรงเรียนรัฐบาลเต็มตัว ก็ยังสามารถเลือกได้ว่า จะเรียนภาษาหลักเป็นภาษาอะไร เช่น อังกฤษ หรือ ฮินดี หรือ เบงกาลี ซึ่งเป็นภาษาถิ่นสำหรับชาวเบงกอล
รัฐบาลจะต้องจัดครูสอนในภาษานั้นๆให้แก่นักเรียนตามที่นักเรียนต้องการ โดยที่ผู้ปกครองไม่ต้องจ่ายเงินค่าใช้จ่ายพิเศษ เช่น ตำราเรียน ยกเว้นค่าอุปกรณ์การเรียนบางอย่างที่ต้องจ่ายเพิ่ม
นอกจากนี้ รัฐบาลท้องถิ่นของรัฐเบงกอล ยังช่วยสนับสนุนเยาวชนของเขาในทางตรงอีก เช่น มีเงินช่วยเหลือเด็กหญิงเพื่อซื้อของใช้จำเป็นสำหรับเด็กที่กำลังเติบโตปีละ 1000 รูปีเริ่มตั้งแต่ชั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ รัฐบาลท้องถิ่นของเบงกอล ยังแจกรถจักรยานให้แก่เด็กชาย และ เด็กหญิงทุกคนตอนเรียนชั้นปีที่ 8 อีกด้วย
ระบบการศึกษาของอินเดียจะแบ่งการเรียนออกเป็น 1-4 ปีแรก เรียกว่า Primary school , ปีที่ 5-10 จะเรียกว่า Secondary school
จากนั้น ปีที่ 11-12 ก็จะเรียกว่า High secondary ซึ่งก็คือชั้นมัธยมปลายก่อนเข้ามหาวิทยาลัยนั่นเอง ในชั้นเรียนนี้ รัฐบาลแห่งรัฐเบงกอล จะแจกคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต(TABLET COMPUTER) ให้แก่นักเรียนคนละเครื่อง
เมื่อจบจากชั้น ปีที่ 12 แล้ว ใครต้องการเรียนต่อในระดับวิทยาลัย หรือ มหาวิทยาลัย ก็จะใช้เวลาอีก 3 ปี
ใช่ครับ อีกเพียง 3 ปี ก็จะได้รับปริญญาบัตร ไม่เหมือนของประเทศไทยที่ต้องเสียเวลาเรียนถึง 4 ปี
ยกเว้นบางวิชาเช่น วิชาแพทย์ศาสตร์ , วิศวะ และ กฎหมาย ซึ่งข้อบังคับขั้นต้น ก็คือ จะต้องผ่านการสอบ Join entrance examination หรือ ลักษณะเดียวกับสอบเอ็นทรานส์ของบ้านเรา
หากสอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ได้ ก็จะต้องเรียน 4 ปี และ ฝึกงานอีก 2 ปีครึ่ง หากเป็นคณะวิศวะฯ (หลายๆสาขา) ก็จะต้องเรียน 4 ปี
หากจะเรียนคณะนิติศาสตร์ ก็จะต้องเป็นผู้จบปริญญาตรีสาขาอื่นมาก่อน 1 สาขา แล้วเรียนต่ออีก 3 ปี แต่หากไม่ได้จบสาขาอื่นมาก่อน ก็จะต้องเรียน 5 ปีรวด จึงจะได้รับปริญญาบัตร
ซึ่งเป็นระบบที่ถูกต้อง ไม่เหมือนประเทศไทยที่บางคนเรียนจบเนติบัณฑิต สอบเข้าเป็นผู้พิพากษา โดยไม่เคยมีประสบการณ์ในวิชาชีพอื่น หรือ ประสบการณ์ชีวิตมาก่อนเลย
ด้วยเหตุที่การสอบเอ็นทรานส์มีความสำคัญต่อชีวิตเยาวชนอินเดียอย่างมาก จึงเกิดโรงเรียนสอนกวดวิชาเพื่อสอบเอ็นทรานส์ มากมายหลายแห่ง แต่ที่ได้รับความเชื่อถือ และ ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือที่เมือง โคตา (KOTA) ในรัฐราชสถาน ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย
ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียนกวดวิชาก็คือ 176,000 รูปี โดยโรงเรียนกวดวิชาจะสัญญาว่า นักเรียนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แน่นอน หากสอบไม่ได้ สามารถกลับมาเรียนใหม่ จนกว่าจะสอบได้
แม้จะเป็นจำนวนเงินที่มากโขอยู่ แต่พ่อแม่ก็มักจะยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่ออนาคตของลูก
กวดวิชา กลายเป็นธุรกิจการศึกษาที่ใหญ่มาก ในเมืองโคตา จะมีนักเรียนจากทั่วทุกสารทิศกว่า 1 แสนคนมาเรียนกันที่นี่ รวมทั้งครูบาอาจารย์ระดับชั้นนำทั่วประเทศมาชุมนุมสอนกันที่นี่ ทำให้เมืองเล็กๆที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงนัก เต็มไปด้วยผู้คน และ อาคารหอพัก โรงเรียน ร้านอาหารมากมาย
ความนิยมลามออกไปจากเมืองโคตา จนบางเมืองก็มีการโฆษณาโรงเรียนสอนกวดวิชา โดยบอกว่า เป็นสาขา ของเมืองโคตาด้วยซ้ำ
บางแห่งไม่มีอะไรอ้างอิงก็ใส่ชื่อ เมืองโคตา เข้าไปด้วยเฉยๆ เพื่อดึงดูดนักเรียน
เมื่อกลายเป็นธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพสาขาอะไร ก็ไม่เคยปรานีใคร
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ