ซอกซอนตะลอนไป (4 ตุลาคม 2563)
คดีฟ้องหย่าสะเทือนบัลลังก์พรรคคองเกรส(ตอน2)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
คดีความฟ้องร้องระหว่าง ชาห์ บาโน กับ ข่าน ผู้สามีดำเนินต่อไปในศาลท้องถิ่นของรัฐมัธย ประเทศ ซึ่งต่อมาในวันที่ 1 กรกฎาคม ปีค.ศ. 1980 ศาลก็ได้ตัดสินให้ข่าน ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูเธอเป็นเงิน 179.20 รูปี ต่อเดือน
ข่านไม่ยอมรับคำตัดสิน จึงฏีกาต่อศาลฏีกาท้องถิ่น (HIGH COURT) ด้วยการอ้างการหย่าร้างแบบอิสลามเหมือนเดิมว่าหลังจากที่เขาทำ ทาลัค 3ครั้งแล้ว เขาจะไม่ต้องรับผิดชอบอดีตภรรยาของเขาอีกต่อไป
และย้ำว่า เขาได้แต่งงานใหม่เป็นครั้งที่สอง ซึ่งได้รับอนุญาตตามกฎหมายอิสลามแล้ว
ต่อมาวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ปีค.ศ. 1981 ผู้พิพากษาองค์คณะ 2 คน ประกอบด้วยผู้พิพากษาที่นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ 1 คน และ ผู้พิพากษาที่ถือถือศาสนาฮินดูอีก 1 คน ขึ้นนั่งบัลลังก์และมีความเห็นว่า กฎหมายมาตรา 125 วิธีพิจารณาความคดีอาญา มีขอบเขตบังคับต่อประชาชนอินเดียทุกคน และไม่เว้นชาวมุสลิม
ซึ่งหมายความว่า ข่าน ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ และ จะต้องจ่ายค่าเลี้ยงดู 179.20 รูปีต่อเดือน
ข่านไม่ยอมรับ จึงนำเรื่องร้องต่อศาล เพื่อให้นำคดีของเขาเข้าพิจารณาด้วยผู้พิพากษาที่มีองค์คณะใหญ่กว่า 2 คน
ถึงจุดนี้ เรื่องทำท่าว่าจะกลายเป็นไฟคุกรุ่นรอวันระเบิด เพราะองค์กรทางศาสนาอิสลาม อย่างน้อย 2 องค์กร คือ ALL INDIA MUSLIM PERSONAL LAW BOARD กับ JAMIAL ULEMA E HIND เริ่มเข้ามาแทรกแซงทางการพิจารณาคดีนี้
แรงผลักดันดังกล่าว ทำให้คดีความนี้ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาคดีขององค์คณะใหญ่ 5 ผู้พิพากษา ซึ่งคงจะเน้นให้ผู้พิพากษาพิจารณาว่า มีความขัดแย้งกันหรือไม่ ระหว่าง มาตรา 125 (THE SECTION 125) วิธีพิจารณาความอาญา กับกฎหมายส่วนบุคคลของมุสลิม (THE MUSLIM PERSONAL LAW) ในประเด็นที่ สามีชาวมุสลิมจะต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูแก่ภรรยาที่เขาได้หย่าร้างไปแล้ว โดยที่เธอไม่สามารถจะดูแลตัวเองได้
และเป็นการจ่ายค่าเลี้ยงดูตลอดไป ไม่มีที่สิ้นสุด ยกเว้นแต่ ฝ่ายหญิงจะแต่งงานใหม่อีกครั้งเท่านั้น
ก่อนอื่น ต้องทราบความแตกต่างของประเพณี และ กฎหมายการหย่าร้างของชายหญิงในอินเดียเสียก่อน เพราะอินเดียเป็นประเทศที่มีคนส่วนใหญ่ของประเทศประมาณเกือบ 80 เปอร์เซนต์ เป็นชาวฮินดู และมีประมาณ 14 เปอร์เซนต์เป็นชาวมุสลิม
เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศที่บังคับใช้ด้วยกฎหมายสากล เช่น กฎหมายในยุโรป อเมริกา หรือ แม้แต่ประเทศไทย
แต่ก็มีระเบียบประเพณีทางศาสนาหลายอย่างของชาวมุสลิม ที่แตกต่างไปจากประเพณีของชาวฮินดู เช่นเรื่องที่เป็นปัญหาในกรณีหย่าร้างของ ชาห์ บาโน และ ข่าน
กฎหมายศาสนาอิสลามระบุเกี่ยวกับเรื่องการฟ้องหย่าเอาไว้หลายเรื่อง เช่น การกล่าวคำว่า ฉันขอหย่าเธอ 3 ครั้ง ที่เรียกว่า ทาลัค 3ครั้ง และ กฎในเรื่อง อิดดาห์ (IDDAH)
ประเด็น อิดดาห์ นี่เอง ที่เป็นความขัดแย้งในการหย่าร้างของชายหญิงสองคนนี้
อิดดาห์ ในความหมายของศาสนาอิลสามแปลว่า ช่วงเวลาที่ต้องรอ หมายถึงช่วงเวลาจำนวนหนึ่งที่ผู้หญิงที่สามีของเธอเสียชีวิต หรือ สามีหย่าร้าง จะต้องถูกจับตา หรือ พิจารณาเป็นพิเศษ เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจใดๆในขั้นตอนต่อไป
ช่วงเวลาที่ต้องรอ จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับแต่ละท้องถิ่นจะกำหนดขึ้น ในกรณีสามีเสียชีวิต ช่วงเวลาที่ “ต้องรอ” จะอยู่ที่ 4 เดือนตามปฎิทินจันทรคติ กับอีก 10 วัน แต่โดยปกติ ช่วงเวลาที่จะต้องรอจะอยู่ที่ประมาณ 3 เดือนเท่านั้น
ทำไมจึงต้อง 3 เดือน
ในช่วงเวลา 3 เดือนหลังการตายของสามี หรือ การหย่าร้าง หากภรรยาหม้ายเกิดตั้งท้องขึ้นมาในช่วง 3 เดือนนี้ สังคมก็จะได้รู้ว่า ลูกที่อยู่ในท้องของเธอเป็นลูกของสามีเก่า ว่ากันว่า ที่ต้องกำหนดเวลา 3 เดือน เพื่อจัดการการไว้ทุกข์ และ ช่วงเวลาที่ฝ่ายหญิงจะสามารถแต่งงานใหม่ได้ เพื่อไม่ให้เธอถูกครหานินทา
หมายความว่า ในช่วงเวลา 3 เดือนของการรอนี้ สามีจะต้องรับผิดชอบภรรยาที่เขาหย่าร้าง และต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูเธอ
แต่ทันทีที่เข้าสู่เดือนที่ 4 สามีของเธอก็จะหมดภาระผูกพันนี้ไปในทันที
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ