ซอกซอนตะลอนไป (9 สิงหาคม 2563)
“ชีวิตเหมือนฝัน คุณหญิงมณี” จากเด็กไร้บ้าน มาเป็นสะใภ้หลวง(ตอน 29)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
(สำหรับท่านที่ต้องการจะอ่านบทความที่ผมเขียนเรื่องนี้ย้อนหลังตั้งแต่ตอนที่ 1 เชิญเข้าไปอ่านได้ที่ www.whiteelephanttravel.co.th แล้วไปที่ blog แล้วไปที่ “ซอกซอนตะลอนไป” บทความตอนที่ 1 จะอยู่ที่บล็อค 20 อ่านต่อเรื่อยๆจนถึงตอนที่ 26 ครับ)
อาจจะเป็นเพราะคุณหญิงมณี เติบโตขึ้นมาด้วยความลำบาก ต้องต่อสู้มาตลอดในช่วงต้นของชีวิต แต่หลังจากอภิเษกกับพระองค์จีระศักดิ์แล้ว จะเป็นช่วงที่มีความสุขมาก แต่ก็ทำให้มุมมองของท่านต่อคุณค่าของชีวิตมนุษย์ แตกต่างไปจากมุมมองของคนรวย และ คนชั้นสูงในยุคปี พ.ศ. 2500 เป็นอย่างมาก
และเมื่อกลับมาอยู่ในเมืองไทยกับพระองค์อาภัส ชีวิตยิ่งมีแต่ความสะดวกสบาย มีแต่ความสุขอย่างที่คุณหญิงอาจจะไม่เคยเจอมาก่อนเลย
แต่เนื่องจากคุณหญิงเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษามาอย่างดีในวิชาปรัชญาตะวันตก ซึ่งมีแนวคิดออกไปไปทางสังคมนิยม คุณหญิงจึงมีมุมมองของชีวิตที่แตกต่างไปจากสังคมไทยในช่วงปี 2500
คุณหญิงเขียนเอาไว้ว่า
“ข้าพเจ้าไม่พอใจเลย เพราะการมีความเป็นอยู่แบบนี้ ไม่ตรงกับอุดมคติของข้าพเจ้า นอกจากนั้น ข้าพเจ้าก็อยากให้ พระองค์อาภัสได้ทำงานอะไรสักอย่างหนึ่งเป็นหลักด้วย”
เนื่องจากพระองค์อาภัสเรียนจบมาทางด้านสถาปัตยกรรมจากอังกฤษ คุณหญิงจึงต้องการให้พระสวามีทำงานในสายอาชีพที่ร่ำเรียนมา คือ ออกแบบบ้าน ซึ่งตอนนั้นในสังคมชั้นสูงของไทย มีสถาปนิกที่ออกแบบบ้านที่น่าจะได้รับความนิยมมากอยู่สองคน คือ มจ.ประสมสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์ และ มจ. โวฒยากร วรวรรณ เท่านั้น
คุณหญิงคงจะมองเห็นโอกาสในอาชีพสายนี้ แต่ดูเหมือนพระองค์อาภัส จะไม่มีความมั่นใจในอาชีพสถาปนิก แต่ต้องการที่จะไปทำนาปลูกข้าวตามที่เคยตั้งใจไว้ตั้งแต่ตอนอยู่เมืองนอก ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคุณหญิง และ บรรดาญาติๆทุกคน
ขุนเจนฯ ซึ่งมีนามเต็มว่า ขุนเจนจบทิศ รับราชการอยู่ที่กรมทางหลวงแผ่นดิน จึงไปหาที่ดินเพื่อจะทำนาซึ่งกำหนดว่า น่าจะต้องมีสัก 100 ไร่
“ขุนเจนฯ ก็ได้มาเสนอพระองค์อาภัสกับข้าพเจ้าว่า มีที่ดินอยู่หนึ่งแปลงประมาณ 100 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินที่เป็นนาอยู่แถวพระโขนง และเจ้าของต้องการขายทั้งแปลงในราคาตารางวาละ 2 บาท หรือไร่ละ 800 บาท ที่ดินแปลงนี้อยู่ที่อำเภอสำโรง ตำบลบึงชำอ้อ ห่างจากถนนใหญ่เข้าไปในซอยประมาณ 500 เมตร”
คุณหญิงได้เขียนต่อว่า
“ข้าพเจ้ารีบตกลงซื้อที่นาแปลงนี้ทันที และได้ไปขอเบิกเงินจากกองมรดกของสมเด็จพระปกเกล้าฯซึ่งข้าพเจ้ามีสิทธิ์ขอเบิกใช้ก่อนการแบ่งมรดก ท่านผู้จัดการมรดกคือ มจ.อุปลีสาณ ก็มิได้ทรงทักท้วงหรือขัดขวางแต่ประการใด”
(ทำไม จึงต้องเบิกเงินมาจากกองมรดกมาใช้ก่อน คุณหญิงไม่มีสิทธิ์ในกองมรดกนี้หรืออย่างไร อะไรเป็นเงื่อนไข ผมจะเล่าให้ฟังในตอนหน้าครับ)
แนวคิดในการทำนาของพระองค์อาภัส ถือว่าทันสมัยมากในยุคนั้น กล่าวคือ ทรงใช้ รถแทรกเตอร์ และ เครื่องมือที่ทันสมัยที่นำเข้ามาจากประเทศอังกฤษมาเป็นตัวช่วย
คุณหญิงเขียนไว้ว่า “พระองค์อาภัสทรงตื่นเต้นมาก…………….ทรงปรับที่นาด้วยการไถด้วยแทรกเตอร์ ได้ใช้อุปกรณ์ต่างๆพลิกดิน กลบดิน พรวนดิน และปรับที่ดินอย่างดีก่อนที่จะลงมือปลูกข้าว พระองค์อาภัสเห่อการทำนามาก”
แต่ดวงชะตาคงไม่เสริมส่ง สะพานไม้ที่อยู่ปากซอยถูกรื้อทิ้งไป และเจ้าของที่ดินติดถนนใหญ่ปากซอยไม่ยินยอมให้ใครสร้างสะพานใหม่ข้ามที่ดินในกรรมสิทธิ์ของเขาเข้าไปข้างในได้ จะอนุญาตก็เพียงแต่กระดานไม้แผ่นเดียวให้คนที่อยู่อาศัยข้างในข้ามเข้าไปเท่านั้น
หมายความว่า อุปกรณ์เครื่องจักรต่างๆหมดสิทธิ์ที่จะเข้าไปถึงที่นาได้
คุณหญิงได้เขียนไว้ว่า “พระองค์อาภัสจึงทรงท้อแท้และหมดกำลังใจ ในที่สุดก็ล้มเลิกการทำนาด้วยเครื่องจักร ได้ทรงหันมาออกแบบสำนักงานเล็กๆชั้นเดียว ซึ่งเราตกลงกันว่า จะปลูกสร้างก่อนในที่ดินที่ถนนเพลินจิตเพื่อเป็นสำนักงานดูแลผลประโยชน์ ของเราต่อไป……………….ความหวังของพระองค์อาภัสที่จะทรงทำนาปลูกข้าวด้วยแทรกเตอร์ก็สิ้นสุดลงเพียงแค่นี้”
เข้าใจว่า บ้านที่ถนนเพลินจิตก็คือ โรงแรมเรอเนสซองส์ ในปัจจุบัน
วันนั้น ผมคิดว่า ทั้งคุณหญิง และ พระองค์อาภัส คงคิดว่า ทำไมถึงได้โชคร้ายขนาดนี้ แม้จะพยายามเจรจาขอเปิดทางถนนแล้วก็ยังไม่สำเร็จ
แต่ความรู้สึกว่าเป็นโชคร้ายในวันนั้น อาจจะเป็นโชคดีของคนรุ่นหลังในวันนี้ เพราะ
“ข้าพเจ้าไม่เคยคาดคิดเลยว่า ที่ดินแปลงนี้จะมีราคาสูงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าในเวลาอันรวดเร็วระหว่างระยะเวลา 25 ปี ได้มีคนหลายคนมาขอซื้อที่ดินแปลงนี้จากข้าพเจ้าอยู่เสมอ โดยที่ข้าพเจ้าจะได้กำไรหลายสิบเท่า หากว่ายินยอมขายไป”
แต่สุดท้ายคุณหญิงก็มิได้ขายไป
ผมไม่ทราบว่า หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 60 ปี ที่ดินบริเวณนี้ จะมีราคาตารางวาละเท่าไหร่ ใครรู้ช่วยบอกทีนะครับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ