อียิปต์-ดินแดนมหัศจรรย์ แสนลึกลับ(ตอน 2)

ซอกซอนตะลอนไป                           (4 พฤศจิกายน 2559 )

อียิปต์-ดินแดนมหัศจรรย์ แสนลึกลับ(ตอน 2)

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

               ความคล้ายคลึงกันในแง่ของวัฒนธรรม และ ความเชื่อของอียิปต์โบราณ  กับวัฒนธรรมความเชื่อของอีกซีกโลกหนึ่งทั้งๆที่อยู่ห่างไกลกันกว่า 5,000 กิโลเมตรนั้น  เป็นเรื่องที่แสนจะลึกลับ 

               ก่อนหน้านั้น   ผู้คนมักจะเข้าใจกันว่า เมื่อฟาโรห์สิ้นพระชนม์ลง  ผู้อยู่เบื้องหลังก็จะฝังบรรดาข้ารับใช้ของฟาโรห์เอาไว้ในสุสานให้ตายตกไปพร้อมกับฟาโรห์ด้วย 

               ด้วยหวังว่า  บรรดาข้ารับใช้จะได้ตามไปรับใช้ฟาโรห์ในภพหน้าต่อไป 

               แต่หลังจากที่มีการขุดสำรวจสุสานของฟาโรห์  และ พีระมิดที่ใช้ฝังศพของฟาโรห์ ก็ได้พบหลักฐานว่า   แท้จริงแล้ว   ชาวอียิปต์โบราณมิได้ฝังข้ารับใช้ให้ตายทั้งเป็นพร้อมกับฟาโรห์ในสุสานเช่นที่เข้าใจกัน   แต่จะสร้างหุ่นดินเผาของข้ารับใช้เหล่านี้ฝังรวมเข้าไปในสุสาน 

               ต้องไม่ลืมว่า  พีระมิด หรือ  สุสานของฟาโรห์นั้น  เขาสร้างเอาไว้เพื่อฝังพระศพของฟาโรห์เพียงพระองค์เดียว


(รูปปั้นดินเผาที่พบในสุสานของฟาโรห์  แสดงให้เห็นข้ารับใช้ที่ตามไปรับใช้ในภพหน้า)

               เมื่อฟาโรห์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในภพหน้า   พระองค์ก็จะอ่านมนต์ศักดิ์สิทธิด้วยดวงตาของเทพฮอรัส เพื่อปลุกให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้น  ฟื้นคืนชีพขึ้นมาทำหน้าที่รับใช้ฟาโรห์ต่อไป 

               มีทั้งข้ารับใช้ที่ทำหน้าที่นวดแป้ง   ทำหม้อไห  ทำเบียร์ เป็นต้น   เรียกว่า  ชีวิตในภพหน้าของฟาโรห์จะเหมือนกับตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกประการ


(ข้ารับใช้หญิงคนนี้กำลังนวดแป้ง  เธอจะตามไปนวดแป้งให้แก่ฟาโรห์ในภพหน้าเช่นกัน)

               เมื่อเปรียบเทียบกับ ราชวงศ์ฉิน(QIN DYNASTY) ของประเทศจีน เมื่อปี 221 ถึง ปี 206 ก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 2,200 ปีที่แล้ว  จักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้(QIN SHI HUANG) ได้สร้างกองทัพทหารหุ่นที่ทำด้วยดินเผา จำนวนมากมายมหาศาลที่ยังไม่สามารถสรุปจำนวนได้ 


(สุสานทหารหุ่นของ ฉินซีฮ่องเต้(เพียงส่วนเดียว) ที่เมืองซีอาน)

               ทหารหุ่นดินเผาเหล่านี้  ถูกฝังเอาไว้ในดินกระจายรายรอบสุสานของพระองค์  

               สุสานของจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้นั้น  จนถึงวันนี้ ประเทศจีนยังไม่กล้าขุดค้นทางโบราณคดี  เพราะรู้ว่า  เทคโนโลยี่ในปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถจะรักษาสิ่งของต่างๆที่ถูกฝังอยู่ในสุสานนานกว่า 2 พันปีไม่ให้เสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็วได้  เมื่อสิ่งของเหล่านี้ออกมาอยู่ในบรรยากาศโลก 


(สุสานทหารหุ่น ที่ใบหน้าของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย  แสดงให้เห็นว่า  ตั้งใจจะปั้นให้เหมือนบุคคลจริงของยุคนั้น)

               และสัมผัสกับออกซิเจน  ความชื้น และ อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสนิม หรือ ทำให้เกิดการเสื่อมสลายของสิ่งของต่างๆที่ถูกเก็บในห้องปิดสนิทมาเป็นเวลากว่า 2 พันปี

               สิ่งเหล่านี้เคยเกิดมาแล้วในอดีต  กับความเสียหายอย่างมหาศาลที่เกิดกับสิ่งของต่างๆที่ถูกค้นพบในสุสานของตุตันคาเมนเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว 

               ไม่น่าเชื่อว่า  ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับวัตถุโบราณในสุสานของตุตันคาเมน เมื่อเอาออกมาสู่บรรยากาศของโลกเพียงปีเดียว จะมากกว่าความเสียหายที่เกิดกับวัตถุโบราณเหล่านี้ที่ถูกเก็บอยู่ในสุสานนานกว่า 3 พันด้วยซ้ำ


(รูปเหมือนทำด้วยไม้ ฉาบด้วยปูนพลาสเตอร์ ที่พบในสุสานของตุตันคาเมน  เสียหายอย่างมากแม้จะพยายามซ่อมแซมอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม)

               โอกาสหน้า   ผมจะนำเรื่องขุมทรัพย์ตุตันคาเมน มาเล่าสู่กันฟังครับ

               แนวคิดในการสร้างสุสานทหารหุ่นดินเผาของจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้นั้น   นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า  เพื่อให้ทหารเหล่านี้ทำหน้าที่ปกป้องดินแดนของราชวงศ์ฉิน และ รักษาความปลอดภัยจากศัตรูหลายแคว้นของพระองค์

               ข้ามไปยังเกาะฮอนชูของญี่ปุ่น เมื่อประมาณปีค.ศ.250 ถึงปีค.ศ. 538  หรือเมื่อประมาณ 1500 ปีเศษที่แล้วในยุคโคฟุน(KOFUN) ตามประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น  ตรงกับยุคสามก๊ก(THREE KINGDOMS) เรื่อยลงมาถึงยุคราชวงศ์จิ้น(JIN DYNASTY) และ ยุคราชวงศ์เหนือราชวงศ์ใต้(NORTHERM AND SOUTHERN DYNASTY)    


(สุสานของยุคโคฟุน ที่เมืองโอซากา)

               นักโบราณคดีค้นพบสุสานหนึ่งจากยุคโคฟุนที่เมืองโอซากา  เป็นรูปทรงกุญแจมีขนาดยาวประมาณ 486 เมตร   ภายในสุสานนี้  มีการค้นพบรูปปั้นดินเผาที่ส่วนใหญ่เป็นรูปนักรบ และ ม้า จำนวนมาก 


(รูปปั้นดินเผาเป็นรูปทหารที่พบในสุสานของยุคโคฟุน ภาพจากวิกิพีเดีย )

(รูปปั้นดินเผาเป็นรูปม้า  จากยุคสมัยโคฟุน  ภาพจากวิกิพีเดีย)

               เข้าใจว่า   คงจะมีจุดประสงค์แบบเดียวกัน  และ  อาจจะรับเอาวัฒนธรรมนี้มาจากจีนอีกต่อหนึ่งก็เป็นได้ 

               เป็นเรื่องที่น่าฉงนมากที่  ประเทศที่อยู่ห่างไกลกันมากขนาดนี้  จะมีแนวคิดในเรื่องปรัชญาแห่งความตายใกล้เคียงกันว่า  ชีวิตมนุษย์ไม่ได้จบลงเพียงแค่ชีวิตในภพนี้    หากแต่ยังมีชีวิตในภพหน้ารออยู่

               แม้ว่าจะไม่มีใครยืนยันเรื่องชีวิตในภพหน้าได้   แต่ศาสนาพุทธก็สอนให้เราไม่ประมาทในการใช้ชีวิตในภพนี้  ไม่ว่าจะมีภพหน้าหรือไม่ก็ตาม 

               สวัสดีครับ 

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , .

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *