ซอกซอนตะลอนไป (9 เมษายน 2560 )
ระเบียบการสอบใบขับขี่ใหม่ ใครได้ประโยชน์(ตอน2)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
แม้ว่า กรมการขนส่งจะยกเลิกนโยบายให้อบรมผู้สอบใบขับขี่ 5 – 15 ชั่วโมง และ ให้โรงเรียนสอนขับรถยนต์เข้ามาร่วมในการสอบใบขับขี่ด้วยแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ เป็นเรื่องหลักการของการสอบใบขับขี่ ซึ่งอยากจะกรมการขนส่งทางบกได้พิจารณา
หลักการการสอบใบขับขี่นั้น หากเจ้าตัวสามารถสอบข้อเขียนผ่าน และ สอบการขับขี่ยานพาหนะผ่านแล้ว การที่กรมการขนส่งทางบกจะออกกฎให้ต้องอบรมต่อไปอีก 4 หรือ 5 ชั่วโมง หรือจนถึง 15 ชั่วโมง เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
เพราะหากเขาสอบผ่านทั้งข้อเขียนและภาคปฎิบัติผ่าน ก็หมายความว่า เขามีคุณสมบัติเพียงพอแล้วที่จะได้รับใบขับขี่ที่รัฐฯออกให้เพื่อยืนยันว่า เขามีความสามารถที่จะขับขี่รถยนต์บนถนนตามกฎจราจร
หากกรมขนส่งทางบกต้องบังคับให้ผู้สอบใบขับขี่ผ่าน ต้องเข้าอบรมอีก ก็แสดงว่า การสอบใบขับขี่ไม่มีความหมาย หรือ ไม่มีประโยชน์
ถ้าเช่นนั้น ทำไมกรมขนส่งทางบกจึงไม่กำหนดให้ผู้ขอมีใบขับขี่เข้าอบรมเพียงอย่างเดียวก็ผ่านได้ โดยไม่ต้องสอบ จะเอาสัก 100 –200 ชั่วโมงก็ว่ากันไป
ยิ่งมีความพยายามจะดึงเอาโรงเรียนสอนขับขี่รถยนต์เข้ามาร่วมอีก ก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลเพิ่มขึ้น ทำให้นึกถึงการทำหนังสือเดินทางของประเทศไทยเมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว
หลายท่านอาจจะลืมไปล้วว่า การทำหนังสือเดินทางในยุคนั้น ทุกคนต้องไปให้ตำรวจสันติบาลสอบประวัติเสียก่อน แล้วจึงเอาหลักฐานต่างๆไปยื่นขอมีหนังสือเดินทางที่กระทรวงต่างประเทศ ซึ่งจะมีคนไปเข้าคิวยาวเหยียดเพื่อทำหนังสือเดินทางกัน
ซึ่งต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะเรียบร้อย
แต่คนจำนวนมาก สามารถมีหนังสือเดินทางได้โดยที่ไม่ต้องไปให้สันติบาลสอบประวัติ และ ไม่ต้องไปกระทรวงการต่างประเทศเองด้วยซ้ำ
คิดดูแล้วกันว่า จะมีเงินใต้โต๊ะสะพัดกันมากขนาดไหน
ผมไม่เข้าใจว่า กรมขนส่งทางบกคิดอย่างไรจึงต้องการเปลี่ยนแปลงระเบียบการสอบใบขับขี่ ให้ลำบากมากขึ้นอย่างไร้เหตุผล โดยไม่หันไปดูประเทศที่เจริญแล้วเขาทำกัน
เพราะประเทศที่เจริญแล้ว เช่น อเมริกา เขาสอบใบขับขี่ง่ายมาก(ตามที่ผมได้เขียนไปในตอนที่แล้ว) ก็สามารถขอใบขับขี่สากลมาขับรถในประเทศไทยได้ กลายเป็นว่า คนไทยกลายเป็นพลเมืองชั้นสองในเรื่องใบขับขี่ไปซะงั้น
ดูเหมือนว่า ธงของกรมการขนส่งทางบกที่คิดเอาไว้แต่แรกก็คือ อุบัติเหตุทั้งหลาย เกิดจากคนขับรถที่เพิ่งได้ใบขับขี่มาใหม่ๆ ก็อยากจะรู้ว่า กรมขนส่งทางบกมีสถิติ หรือ ข้อมูลอะไรที่บ่งบอกว่า อุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดจากผู้ที่เพิ่งได้ใบขับขี่มาหมาดๆ
กรมขนส่งทางบก น่าจะหันไปสนใจคิดป้องกันอุบัติเหตุอย่างเป็นระบบจะดีกว่า เช่น ตรวจสอบการจัดวางป้ายสัญญาณจราจรตามถนนให้ครบถ้วน และ ควรหมั่นออกตรวจตราหากมีกิ่งไม้งอกออกมาบังป้ายเหล่านี้จะมองไม่เห็น
นอกจากนี้ ยังจะต้องพิจารณาเลือกวางในจุดที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของทั้งผู้ขับรถ และ คนเดินถนน
การวางจุดสัญญาณจราจรที่เหมาะสมนั้น เท่าที่เห็นในซอยสังคมสงเคราะห์ตรงสามแยกตัดกับถนนสุคนธ์สวัสดิ์ ไม่มีสัญญาณไฟจราจร ทั้งๆที่รถราคับคั่ง ต่างคนต่างไม่ยอมกัน จะทำให้จราจรติดขัดอย่างไม่ควรจะเป็น
แต่ถัดออกไปประมาณ 20 เมตร กลับมีสัญญาณไฟแดงให้คนข้ามถนน ทั้งๆที่ไม่มีคนใช้มากจนต้องมีไฟสัญญาณ
เข้าใจว่า คนที่ขอสัญญาณไฟจราจรตรงจุดนี้ คงจะเส้นใหญ่มาก
กรมขนส่งทางบกน่าจะกวดขันเรื่องรถบัสสองชั้นที่ไม่ได้มาตรฐานมาเป็นเวลาช้านาน จนก่อให้เกิดอุบัติเหตุมากมาย
กรมขนส่งทางบก น่าจะอออกตรวจตรารถแท็กซี่ที่ไม่ดีรับการต่ออายุทะเบียนที่ออกหากินในตอนกลางคืน และ จัดการพวกแท็กซี่ที่ไม่ยอมรับผู้โดยสารให้มีโทษหนักขึ้น
กรมขนส่งน่าจะตรวจตรารถบรรทุก 6 ล้อ ที่ดัดแปลงกระบะบรรทุกให้ใหญ่จนมีขนาดเท่ากับรถบรรทุก 10 ล้อ
กรมขนส่งทางบก น่าจะเข้าไปควบคุมดูแล และ ออกมาตรการความปลอดภัยในเรื่องการสร้างสะพาน ไม่ให้มีคอสะพาน เพราะคอสะพานเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุหลายต่อหลายครั้ง
หรือ หากจะช่วยกวดขันรถซาเล้งที่ดัดแปลงสภาพด้วยการติดเครื่องยนต์ จนเหมือนรถจักรยานยนต์ที่ออกวิ่งกันเกลื่อนว่า กรมขนส่งอนุญาตให้ออกมาวิ่งได้อย่างไร
สุดท้าย กรมขนส่งทางบก น่าจะต้องร่วมกันกับตำรวจจราจร กำหนดให้ชัดเจนว่า จักรยานยนต์จะต้องวิ่งอย่างไรบนถนน ต้องวิ่งในเลนไหน เพราะทุกวันนี้ จักรยานยนต์เป็นตัวป่วนที่วิ่งแทรกซ้ายป่ายขวา จนเกี่ยวชนกระจกมองข้างของรถยนต์จนหักแล้วขับหนีไปอย่างไม่ใยดี
จัดการเรื่องพวกนี้ให้เรียบร้อยก่อนเถอะ ค่อยมายุ่งกับเรื่องเปลี่ยนแปลงวิธีสอบใบขับขี่
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ
สำหรับท่านที่สนใจเดินทางท่องเที่ยว โตเกียว – ไหว้พระใหญ่คามาคุระ – เกียวโต- นาโกยา – โอซากา ชมพิงค์มอส และ ดอกวิสทีเรีย กับผม ที่พักดี อาหารเลิศ ระหว่างวันที่ 9 – 15 พฤษภาคม นี้ โทรสอบถามรายละเอียด และ สำรองที่นั่งโทร 02 6516900