ซอกซอนตะลอนไป (11 มีนาคม 2559 )
“ชีวิตเหมือนฝัน คุณหญิงมณี”จากเด็กไร้บ้าน มาเป็นสะใภ้หลวง(ตอน 18)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ชีวิตของหม่อมมณี พร้อมด้วยครอบครัว เริ่มต้นใหม่อีกครั้งในเมืองไทย ในปีพ.ศ. 2490 เป็นชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทั้งนี้ก็เนื่องแต่สถานะทางสังคมที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง ผิดไปจากสถานะทางสังคมตอนที่อยู่ในอังกฤษ
“เรื่อง “การเป็นเจ้า” นี้ ทำให้ข้าพเจ้าต้องเดือดร้อนอยู่บ้าง เพราะเกี่ยวกับลูกๆของข้าพเจ้าโดยตรง เมื่อเราไปถึง ก็มีคนทั้งสาวและไม่สาวมารับใช้และปวารณาตนเองเป็นพี่เลี้ยงของลูกๆ………เมื่อข้าพเจ้าทดลองให้มาเป็นคนเลี้ยงของเด็กๆแล้วก็รู้สึกหนักใจมาก เพราะพี่เลี้ยงแต่ละคนดูแลลูกข้าพเจ้าแบบเป็นลูกเจ้านาย คือ ตามใจลูกๆทุกอย่าง ….ต้องการอะไร หรือจะทำอะไรก็ทำได้ทุกอย่าง ทำให้ลูกๆของข้าพเจ้าซึ่งเคยมีระเบียบวินัยอย่างดีชักเหลิง และ ดื้อด้าน แสดงกริยาต่างๆซึ่งไม่เคยมีมาแต่ก่อน”
คุณหญิงมณี เขียนเอาไว้เช่นนี้ และยังได้แสดงทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องชีวิตในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช และ ระบอบประชาธิปไตยที่เพิ่งจะเริ่มต้นเมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว ในเรื่องความแตกต่างทางฐานะของคนที่มีฐานะ “เป็นเจ้า” ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง กับ คนธรรมดาทั่วไป
เป็นมุมมองที่น่าสนใจที่สะท้อนความคิดของผู้คนในยุคสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี
“ในขั้นแรก พระองค์อาภัส ก็ทรงประหลาดพระทัยในการแสดงออกถึงความจงรักภักดี และความเป็นมิตรไมตรีของบรรดาญาติ และคนเก่าๆเหล่านั้น แต่เมื่ออยู่นานๆไป การที่มีคนมาห้อมล้อม และแสดงความนิยมชมชอบ พูดจายกย่องอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้พระองค์อาภัสลืมพระองค์ หลงในคำพูดเหล่านั้นมากเกินไป”
นี่คือจุดอ่อนของมนุษย์ทุกคน
คุณหญิงมณี ได้บันทึกถึงความเปลี่ยนแปลงของสามีเอาไว้ว่า
“พระองค์อาภัส เริ่มเปลี่ยนแปลง และเริ่มวางองค์ มีปฎิกริยาเป็นเจ้านายเต็มตัว จนบางคนก็ออกปากว่า พระองค์อาภัสหยิ่งจองหอง…..เวลาพระองค์อาภัสเสด็จไปไหน ทำอะไร หรือติดต่อใคร ถ้าต้องคอย หรือมีเหตุขัดข้องบางประการ พระองค์อาภัสจะกริ้วมาก และ รับสั่งเอะอะ ความใจเย็นอดทนอย่างที่เคยทรงมีมาก่อนก็เหือดหายไปหมด
……พระองค์อาภัสซึ่งเคยเป็นคนถ่อมตัว ชอบอยู่เงียบๆ ก็กลับกลายเป็นคนชอบมีบริวารห้อมล้อม โปรดปรานที่จะให้คนใกล้ชิดเรียกพระองค์ว่า “เสด็จพระองค์ชาย” หรือ “องค์ชาย” ทั้งโปรดปรานที่จะฟังคำยกย่องสรรเสริญต่างๆมากขึ้นทุกๆวัน”
ในขณะที่หม่อมมณี กลับเห็นตรงกันข้าม
“ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวัง ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเมืองไทยยังล้าสมัย ยังอ่อนต่อประชาธิปไตยมาก ข้าพเจ้าเกลียดการยกย่องที่เป็นแบบประจบประแจง ข้าพเจ้าไม่ชอบการแบ่งชั้นวรรณะ และข้าพเจ้าถือว่า คนเราควรต้องแสดงความสามารถเสียก่อน จึงค่อยภูมิใจในการที่คนอื่นๆยกย่องแสดงความนับถือ การที่มีคนมาเฝ้าแหน ป้อยอ ประจบประแจง เพราะเหตุว่าเกิดมาเป็นเจ้าอย่างเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าไม่รู้สึกนิยมชมชอบเลย”
ดูเหมือนเส้นทางชีวิตของคนทั้งสองที่เคยเดินไปคู่กัน จะเริ่มแยกออกจากกันแล้ว
คุณหญิงมณี ได้เล่าเรื่องของกรุงเทพในเวลานั้นว่า ทุกวันสุดสัปดาห์จะครึกครื้นมาก เพราะมีงานลีลาศตามสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะที่สวนอัมพร ทุกคนจะแต่งตัวกันเต็มที่ ชายจะใส่ทักซิโด ส่วนผู้หญิงจะแต่งกระโปรงยาว ประดับด้วยเครื่องเพชรนิลจินดา
“ข้าพเจ้าไปอยู่เมืองนอกมานาน ยังไม่เคยเห็นคนธรรมดาๆ แต่งเครื่องประดับอาภรณ์มากมายเช่นที่เขาใส่กันที่เมืองไทย”
แสดงว่า เมืองไทยเวลานั้น ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกันอย่างมาก คุณหญิงยังได้เขียนอีกว่า
“สังคมในเมืองไทย มีการกระทำที่ผิดแผกแตกต่างกับสังคมที่ข้าพเจ้าเคยชินมาจากต่างประเทศมาก ………และในการเลี้ยงที่บ้านคราวใด เจ้าของบ้านต้องเชิญแขกไปไม่ต่ำกว่า 30 คนเสมอ และถึง 50 คนก็บ่อยครั้ง ถ้าบ้านไหนมีแม่ครัวดี รสอาหารอร่อย ก็มีผู้คนชมเชยและถือว่าการเลี้ยงได้รับผลเป็นที่พึงพอใจ”
แล้วก็มาถึง เรื่องการแบ่งมรดกของตระกูลภาณุพันธ์
เมื่อพระองค์อาภัส ซึ่งเป็นโอรสองค์โตที่เกิดจากหม่อมเล็ก ได้กลับมาเมืองไทย พระองค์หญิงรำไพฯ ก็เห็นควรว่าน่าจะแบ่งมรดกในหมู่ทายาทของสมเด็จวังบูรพา ซึ่งมีด้วยกัน 7 พระองค์
เป็นทายาทที่เกิดจากหม่อมแม้น 2 พระองค์ คือ พระองค์เจ้าหญิงเฉลิมเขตร์ และ กรมหมื่นภาณุพันธ์ ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้วตั้งแต่ปีพ.ศ. 2477
และทายาท 5 พระองค์ ที่เกิดจากหม่อมเล็ก 5 คือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารำไพประภา หรือ พี่หญิง , พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภัสสรวงศ์ , พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช หรือ พระองค์พีระ , พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านรเศรษฐสุริยลักษณ์ ซึ่งทรงพิการตั้งแต่เล็กๆ ไม่สามารถรับสั่งอะไรได้เลย และ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต ซึ่งสิ้นพระชนม์ไปแล้ว
ทำให้พระองค์อาภัส จะมีฐานะเป็นโอรสองค์โตสุดของตระกูล และ ควรจะอยู่ในฐานะของผู้จัดการมรดก
มรดกจะถูกแบ่งเป็น 7 ส่วน ตามชื่อของทายาททุกคน ในส่วนของพระองค์จิรศักดิ์นั้น จะตกเป็นของหม่อมมณีส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งจะเป็นของลูก 2 คน
ในส่วนของทรัพย์ทั่วไปเช่น เพชรนิลจินดา เครื่องลายคราม และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในวังบูรพา นั้นง่ายต่อการแบ่งด้วยการแยกออกเป็น 7 กอง มูลค่าเท่าๆกัน แล้วใช้วิธีจับสลากแบ่ง
แต่เมื่อมาถึงที่ดินซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากมาก เพราะประกอบด้วยที่ดินหลายประเภท เช่น ห้องแถว เรือกสวนไร่นา และที่สำคัญก็คือ ที่ดินแปลงใหญ่ที่เป็นที่ตั้งของวังบูรพาภิรมย์ประมาณ 15 ไร่ และที่ดินรอบๆวังบูรพาอีกหลายแปลง ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง
และที่ดินที่ถนนสี่พระยาที่เป็นตึกแถว และเคยเป็นโรงน้ำแข็งนายเลิศอีกประมาณ 10 กว่าไร่ และเรือนสวนไร่นาแถวศาลายาอีก แบบนี้จะแบ่งกันยังไง
ปัญหาในการแบ่งมรดกที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ เริ่มส่อเค้าว่าจะมีปัญหาแล้ว
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ
(เชิญติดตามอ่านบทความ ดูดวงออนไลน์ ที่ผมเขียนใน แนวหน้าดอทคอม นี้ด้วย ในนามปากกา “ธรรมาธิปติ”)