“ชีวิตเหมือนฝัน คุณหญิงมณี”จากเด็กไร้บ้าน มาเป็นสะใภ้หลวง(ตอน 16)

ซอกซอนตะลอนไป                           (26 กุมภาพันธ์ 2559 )

“ชีวิตเหมือนฝัน คุณหญิงมณี”จากเด็กไร้บ้าน มาเป็นสะใภ้หลวง(ตอน 16)

โดย   เสรษฐวิทย์  ชีรวินิจ

               หม่อมมณี เริ่มต้นชีวิตใหม่กับพระองค์อาภัสในปีพ.ศ. 2486   คุณหญิงมณี ได้บันทึกเอาไว้ในหนังสือ  “ชีวิตเหมือนฝัน คุณหญิงมณี สิริวรสาร” เอาไว้ว่า

               “ข้าพเจ้าอดคิดในใจไม่ได้ว่า  การแต่งงานครั้งที่สองของข้าพเจ้าครั้งนี้  ช่างผิดกับครั้งแรกเสียจริงๆ…………ข้าพเจ้านึกถึงการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ครั้งแรกของข้าพเจ้าที่ฝรั่งเศส  ความสุขหรรษาที่ไม่มีอะไรมาเปรียบปราน”

               เพราะหลังจากที่ หม่อมมณี และ พระองค์อาภัส ได้ไปฮันนีมูนกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตำบลเมเดนเฮด เป็นเวลา 3 วัน  ก็เดินทางไปฮันนีมูนต่อที่ตำหนัก TREDETHY ซึ่งเป็นของพระองค์จุลฯ  หรือ  พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์  ตามคำเชิญของท่านเป็นเวลา 7 วัน


(สนใจซื้อหนังสือ “ชีวิตเหมือนฝัน คุณหญิงมณี สิริวรสาร” ที่คุณเพชรชมพู โทร  099 425 9112 รายได้มอบให้แก่ มูลนิธิ มณี สิริวรสาร เพื่อเป็นกองทุนการศึกษานักเรียน นักศึกษาที่ยากไร้)

               แล้วคืนสุดท้ายของการพักที่ตำหนัก ก็กลายเป็นจุดขัดแย้งในการเริ่มต้นการแต่งงานของทั้งสอง  เมื่อพระองค์จุลฯ ได้เอ่ยปากถามหม่อมมณีในเรื่องความคิดเห็นที่มีต่อระบอบคอมมิวนิสต์บนโต๊ะทานอาหาร 

               หม่อมมณี ตอบไปตามความเชื่อของตนเอง ซึ่งทำให้พระองค์จุลฯ ไม่พอใจ  จนมีการปะทะคารมกัน  บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตึงเครียดมากจนหม่อมลิสบา ภริยาชาวอังกฤษของพระองค์จุลฯ และ หม่อมซีริล ภริยาชาวอังกฤษเช่นกันของพระองค์พีระ ต้องเข้ามาขัดจังหวะ และชักชวนให้ทุกคนเตรียมตัวเล่นเกมส์


(พระองค์จุลฯ)

               เมื่อกลับเข้าห้องนอน  พระองค์อาภัส ไม่พอใจหม่อมมณีเป็นอย่างยิ่ง  และต่อว่าหม่อมมณีว่า  ไม่ควรที่จะต่อปากต่อคำกับพระองค์จุลฯ  เพราะไม่เคยมีใครกล้าพูดคัดค้านความคิดเห็นพระองค์จุลฯ แม้แต่คนเดียว

               เป็นการขัดแย้งทางความคิดระหว่างพระองค์อาภัส กับ หม่อมมณี  จนคุณหญิงมณี ได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ ว่า 

“เป็นสาเหตุที่ทำลายบรรยากาศแห่งความสัมพันธ์ทางจิตใจ  ที่ข้าพเจ้ามีต่อพระองค์อาภัสในการร่วมชีวิตใหม่เป็นครั้งแรก  ซึ่งถือได้ว่าเป็นลางไม่ดีครั้งที่สาม” 

หม่อมมณี เริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจแล้วว่า  

“ชีวิตการแต่งงานครั้งที่สองคงไม่ราบรื่นนัก และอาจสิ้นสุดลงได้ในวันข้างหน้า” 

บุคลิกที่โดดเด่นของคุณหญิงมณีที่ปรากฏในหนังสือ  และ ในดวงชะตาก็คือ  เป็นคนที่มีใจนักเลง   กล้าได้กล้าเสีย  และ เป็นคนพูดจาโผงผางตรงไปตรงมา   

ดังนั้น   วันหนึ่ง  หม่อมมณี จึงได้เริ่มพูดคุยแบบตรงไปตรงมากับสามีอย่างเปิดอก  และ ต้องการจะรู้ว่า  สามีของเธอต้องการจะดำเนินชีวิตอย่างไร  ซึ่งเธอก็พร้อมที่จะปฎิบัติตาม 

หม่อมมณีเขียนไว้ในหนังสือว่า 

“เมื่อเราทั้งสองร่วมหัวจมท้ายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว   ข้าพเจ้าก็อยากทำทุกสิ่งทุกอย่างให้การแต่งงานของเราเป็นความสำเร็จ” 

หลังจากพูดคุยกันแล้ว  พระองค์อาภัสก็ตัดสินใจเลิกทำงานเขียนแบบในลอนดอน   เพราะขณะนั้นยังเป็นช่วงสงครามโลกอยู่  ลอนดอนค่อนข้างจะเสี่ยงต่อภัยจากการทิ้งระเบิด 

เมื่อได้รับอนุมัติเงินจากกองทุนจำนวน 3,000 ปนอด์  ทั้งคู่ก็เลือกซื้อบ้านในชนบทซัมเมอร์เซทหลังหนึ่งในนามของลูกชายทั้งสองคนของหม่อมมณี  จากนั้น  ทั้งคู่ก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านไฮเออรฺมีด ที่อยู่ในชนบทที่ห่างไกลจากลอนดอนมากๆหลังนี้

ชีวิตใหม่ที่มี่งคู่ตัดสินใจที่จะเป็นก็คือชาวไร่ชาวสวน ตามความต้องการของพระองค์อาภัส  และ บ้านหลังนี้ก็เหมาะสมในการทำไร่ทำสวนไร่มาก เพราะมีที่ดินกว้างขวางมากกว่า 6 เอเคอร์  

ครอบครัวของหม่อมมณี  ย้ายเข้าไปอยู่ที่บ้านไฮเออร์มีดหลังจากที่แต่งงานได้ 3 เดือน  ซึ่งขณะนั้น  เธอได้ตั้งครรภ์ลูกคนที่สามซึ่งเกิดแต่พระองค์อาภัสแล้ว

เป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวหม่อมมณี มีชีวิตแบบชาวฟาร์มอังกฤษอย่างแท้จริง   ปลูกพืช  เลี้ยงวัวนม  เลี้ยงไก่  เลี้ยงห่าน   แทบทุกอย่างต้องทำด้วยมือ  กระทั่งพิธีรีตองหรูหราบนโต๊ะอาหารที่บ้านดอนฮิล ตอนหม่อมมณีมีชีวิตร่วมกับพระองค์จิรศักดิ์   ก็เลิกจนหมด

แม้แต่งานซักผ้า และ  งานแม่บ้าน  หม่อมมณีก็ต้องทำเอง

ตอนเย็นของวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2486  หม่อมมณีก็คลอดลูกคนที่ 3 เป็นผู้หญิงสมใจของพระองค์อาภัส   เพราะพระองค์อาภัสคิดว่า  หากเป็นลูกชายอาจจะเกิดปมด้อย  เพราะเป็นลูกของพี่ชาย แต่อายุน้อยกว่าต้องเดินตามหลังน้อง 


(ดวงชะตาที่ผกผัน เปลี่ยนแปลง สูงต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ ของคุณหญิงมณี สิริวรสาร)

มีเรื่องที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่งในอังกฤษสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ที่คุณหญิงมณีได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า    นายแพทย์ที่รักษาคนไข้จะคิดค่ารักษาตามฐานะของคนไข้ 

ค่าหมอในการทำคลอดลูกคนที่สาม ที่อยู่ในชนบทห่างไกลผู้คนมากๆนั้น มีราคาเพียง 5 ปอนด์  ในขณะที่ตอนที่หม่อมมณีคลอดลูกคนแรก  ต้องจ่ายเงินค่าหมอถึง 500 ปอนด์   และ ตอนคลอดลูกคนที่สองต้องจ่ายค่าหมอ 100 ปอนด์ 

สาเหตุที่ต้องจ่ายค่าหมอในการคลอดลูกคนแรกค่อนข้างแพงมากก็เพราะว่า   หมอที่ทำคลอดลูกสองคนแรก คิดค่าหมอตามฐานะของหม่อมมณีว่า   เป็นลูกสะใภ้ของอดีตกษัตริย์ของเมืองไทย 

แต่หมอแบแรต ผู้ทำคลอดลูกคนที่สามให้หม่อมมณี  คิดค่าทำคลอดให้ในฐานะที่หม่อมมณีเป็นบุคคลธรรมดา ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆที่มีประชากรไม่ถึง 1 หมื่นคนด้วยซ้ำ

คุณหญิง เขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ ตอนหนึ่งว่า

“ข้าพเจ้าคิดว่าในโลกนี้คงไม่มีใครอีกแล้ว  ที่จ่ายค่าคลอดลูกแต่ละครั้งผิดแผกแตกต่างกันถึงเพียงนี้  และก็คงเป็นการแสดงถึงความขึ้นๆลงๆ  การหมุนเวียนเปลี่ยนไปในชะตาชีวิตของข้าพเจ้าอย่างหนึ่งด้วย”  

จากชีวิตนักเรียนทุนในมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ใช้ชีวิตในหอพัก  ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด  กลายมาเป็นลูกสะใภ้ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่ใช้ชีวิตแสนจะสุขสบาย  แล้วกลายมาเป็นสาวชาวไร่  เป็นแม่บ้านของชาวฟาร์ม ที่ต้องซักผ้าด้วยตนเอง  

ชีวิตช่างเหมือนฝันเสียนี่กระไร

พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ    

               (เชิญติดตามอ่านบทความ  ดูดวงออนไลน์ ที่ผมเขียนใน แนวหน้าดอทคอม นี้ด้วย ในนามปากกา “ธรรมาธิปติ”)  

Posted in ซอกซอนตะลอนไป โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ and tagged , , , , .

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องที่ต้องการถูกทำเครื่องหมาย *