ซอกซอนตะลอนไป (12 สิงหาคม 2559 )
คุนหมิง ที่ผมรู้จัก กับ อาจารย์เจี่ย แยนจอง(ตอน 1)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
เมื่อวันที่ 3 -5 สิงหาคม ผมเดินทางไปเยี่ยมอาจารย์เจี่ย แยนจอง ที่เคารพที่เมืองคุนหมิง ผมรู้จักกับท่านมากว่า 27 ปีแล้ว อาจารย์จะคอยช่วยเหลือ ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับทัวร์ในประเทศจีนแก่ผมมาตลอด
เมืองแรกที่ผมเดินทางเข้าประเทศจีนเมื่อประมาณ 27 ปีที่แล้วก็คือ เมืองคุนหมิง ซึ่งเป็นเมืองที่ผมรักมากที่สุดเมือง เท่าที่ได้เดินทางไปเห็นมาทั่วโลก
วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559 นั้น ตามปฎิทินจีนจันทรคติถือว่า เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 7 ซึ่งต่างไปจากปฎิทินจันทรคติของไทยที่ถือว่าเป็นวัน ขึ้น 1 ค่ำเดือน 9
ต้องขอเอาเรื่องเมืองคุนหมิงมาขัดจังหวะ เรื่องสาธารณรัฐเชก ก็เพราะมีเรื่องที่น่าสนใจของคุนหมิง ที่เกี่ยวเนื่องกับช่วงเวลานี้ ที่คิดว่าน่าจะนำมาเล่าให้ฟังกันก่อน
วันที่ 1 เดือน 7 หรือ ขึ้น 1 ค่ำเดือน 7 ตามปฎิทินจันทรคติของจีน ซึ่งตรงกับวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2559 ตามปฎิทินสากลสุริยคติ จนถึงวันที่ 15 เดือน 7 ตามปฎิทินจันทรคติของจีน ถือเป็นช่วงเวลาของการปล่อยผี หรือวิญญาณในแดนออกมาหากิน
ถัดไปอีกไม่กี่วัน คือวันที่ 7 เดือน 7 ตามปฎิทินจันทรคติของจีน ตรงกับวันที่ 9 สิงหาคมพ.ศ. 2559 ตามปฎิทินสากล ชาวจีนถือว่า เป็นวันแห่งความรัก สืบเนื่องจากตำนานเก่าแก่ของจีน เกี่ยวกับนิยายรักระหว่าง เด็กเลี้ยงควาย กับ นางฟ้าทอผ้า ที่ถูกหัวหน้าเทวดาขัดขวางไม่ให้ทั้งสองมาพบกันด้วยแม่น้ำที่กว้างใหญ่มากมาขวางไว้
แม่น้ำสายนี้ก็คือ ทางช้างเผือก หรือ ในชื่อในทางวิทยาศาสตร์คือ THE GALAXY ซึ่งมีผู้จินตนาการชื่อเสียจนไพเราะสวยงามก็คือ MOON RIVER
แต่ในที่สุด หัวหน้าเทวดาก็เกิดสงสาร ยอมให้ เด็กเลี้ยง ได้พบกับ นางฟ้าทอผ้า ได้ข้ามสะพานมาพบกันเพียงปีละหน ซึ่งก็คือ วันที่ 7 เดือน 7 นั่นเอง
ปัจจุบัน ตำนานเรื่องนี้ถูกโยงเข้ามาสู่ธุรกิจการค้า แล้วอุปโหลก ให้เป็นวันวาเลนไทน์ ของจีน ไปเรียบร้อยแล้ว
โชคดีที่วันวาเลนไทน์ของจีน ยังไม่ค่อยแพร่หลายในประเทศไทย ไม่งั้นเราคงต้องฉลองวันวาเลนไทน์ของจีน เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน
แต่สำหรับวันที่ 15 เดือน 7 ตามปฎิทินจันทรคติของจีน ซึ่งตรงกับวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559 และเป็นวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำพอดี และเป็น วันสาร์ทจีนนั้น ชาวจีนถือเป็นวันส่งวิญญาณกลับสู่แดนของตัวเอง
จึงมีการตั้งเครื่องเซ่นไหว้บ้าง หรือ เผากระดาษบ้าง เพื่ออุทิศไปให้แก่บรรพบุรุษตามความเชื่อ
และในคืนวันที่ 17 สิงหาคมนี้เอง ชาวจีนที่เชื่อถือในเรื่องนี้ จะไม่พาเด็กๆออกจากบ้านไปไหนมาไหนในตอนค่ำคืน เพราะถือเป็นช่วงอันตรายเนื่องจากบรรดาผี หรือ วิญญาณกำลังกลับแดนของตัวเอง อาจจะเกิดอันตรายได้
การมาเยือนคุนหมิง ประเทศจีนในคราวนี้ สิ่งที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างก็คือ ห้องน้ำสาธารณะไม่ส่งกลิ่นเหม็นแบบที่คนไทยมักจะพูดล้อเลียนว่า หากต้องการจะไปห้องน้ำ ให้เดินตามกลิ่นไป อีกแล้ว
และข้อสำคัญก็คือ ไม่มีการเก็บเงินค่าเข้าห้องน้ำด้วย
ได้ความว่า รัฐบาลจีนได้ลงทุนจ้างเจ้าหน้าที่มาคอยดูแลห้องน้ำให้สะอาดตลอดเวลา และไร้กลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยไม่ต้องหวังเงินค่าเข้าห้องน้ำของผู้ใช้บริการอีกต่อไป
นอกจากนี้ สิ่งที่รู้สึกได้ทันทีก็คือ แม่น้ำลำคลองในเมืองสะอาดมากขึ้น และผู้คนที่เดินบนถนนก็ไม่ค่อยมีคนขากถุยน้ำลายตามถนนเหมือนแต่ก่อนแล้ว
จะว่าไป ชาวจีนในยุคนี้ โดยเฉพาะสุภาพสตรีส่วนใหญ่แต่งกายดีขึ้นมาก มีกาลเทศะขึ้น และมีรสนิยมมากขึ้น ประเภทผู้หญิงใส่ชุดราตรียาวสีขาวปั่นจักรยานตอนกลางวัน และด้วยความกลัวชายกระโปรงจะเข้าไปติดในโซ่ จึงหยิบชายประโปรงขึ้นมาจับกับแฮนด์จักรยาน
ขับไปก็เปิดหวอไปตลอดทาง ภาพแบบนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว
เพราะอะไร
อาจเป็นเพราะรัฐบาลจีนได้รณรงค์ให้เลิกนิสัยที่สร้างความน่ารังเกียจให้แก่คนอื่น โดยเฉพาะเรื่อง ขากถุย ซึ่งเป็นการแพร่เชื้อโรคแก่คนอื่นด้วย จนเป็นผลสำเร็จ
และคนจีนเองก็มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น ได้เห็นโลกภายนอกมากขึ้น ลูกหลานของผู้มีอันจะกินจำนวนมากได้มีโอกาสไปศึกษาในต่างประเทศมากขึ้น คนจีนที่ไปเที่ยวต่างประเทศได้ฟังไกด์ชาวจีนด้วยกันพูดถึงความเจริญของต่างประเทศมากขึ้น รวมทั้ง ได้ดูทีวีข่าวสารจากต่างประเทศมากขึ้นด้วย
เหล่านี้ น่าจะเป็นเหตุผลที่ชาวจีนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
ผมเดินเลียบไปตามถนนข้างลำคลอง ก็มาพบว่าเดี๋ยวนี้ คุนหมิงก็มีคิวมอเตอร์ไซด์รับส่งผู้โดยสารแบบบ้านเราแล้ว ซึ่งก็ยังเป็นคิวเถื่อนที่ผิดกฎหมายของจีนอยู่ นี่คือสิ่งหนึ่งที่จีนพัฒนาตามหลังประเทศไทย
ถัดไปอีกหน่อยก็พบกับแผ่นป้าย 5 – 6 ป้ายวางไว้ริมถนน มีคนหลายคนยืนมุงดูกันอยู่ พวกเขากำลังมุงดูป้ายที่ติดหนังสือพิมพ์รายวันให้ผู้เดินผ่านไปผ่านมาได้อ่านฟรีๆครับ
ป้าย 1 แผ่น ติดได้สองด้าน ด้านหนึ่งจะปิดประกาศหนังสือพิมพ์ได้ 1 ฉบับ ประมาณ 16 หน้า ดังนั้น ในแต่ละวันจะมีหนังสือพิมพ์มาปิดประกาศให้อ่านฟรีๆประมาณ 10 – 12 ฉบับ
เมื่อเข้าไปดูว่า หนังสือพิมพ์ฉบับไหนที่ชาวจีนมุงดูมากที่สุด ก็ปรากฏว่า เป็นหนังสือพิมพ์ที่เน้นข่าวต่างประเทศนั่นเอง
ชาวจีนนิยมอ่านข่าวต่างประเทศมาแต่ไหนแต่ไร เปรียบเทียบกับคนไทยแล้วห่างไกลกันมาก คนไทยแทบจะไม่สนใจข่าวต่างประเทศเลย ถ้าจะสนใจก็เห็นแต่ ข่าวดาราเท่านั้น
จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นหนังสือพิมพ์เอารูปดาราสาวแต่งวับๆแวมๆมาขึ้นหน้าหนึ่งกันตลอด
ไม่รู้ว่า มันประเทืองปัญญาตรงไหน คนไทยจึงไม่พัฒนาไง
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ