ซอกซอนตะลอนไป (21 พฤศจิกายน 2557)
รับลมหนาวบนแม่น้ำไนล์อียิปต์(ตอน 1)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาวของซีกโลกเหนือ ฤดูกาลของการท่องเที่ยวอียิปต์ก็เริ่มอีกครั้ง เพราะการเที่ยวอียิปต์ในช่วงที่ดีที่สุดก็คือในช่วงหน้าหนาว หาไม่แล้วอากาศจะร้อนมาก และแมลงวันจะมากเป็นพิเศษ
เนื่องจากอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผมจะนำคณะนักท่องเที่ยวที่บริษัท ไวท์ เอเลแฟนท์ ทราเวล เอเยนซี่ ร่วมกับ สถานีโทรทัศน์ ฟ้าวันใหม่ ไปชมอียิปต์อย่างเจาะลึก ก็เลยขอถือโอกาสนำเรื่องราวของอียิปต์โบราณมาเล่าสู่กันฟังครับ
ประเทศที่ผมหลงใหลใฝ่ฝันอยากไปเยือนทุกปีก็คือ อินเดีย และ อียิปต์ เพราะสองประเทศนี้เป็นอู่อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นอกเหนือจาก อารยธรรมเมโสโปเตเมีย และ อารยธรรมจีน
นอกเหนือจากไคโร และ อเล็กซานเดรีย ที่อยู่ทางเหนือสุดแล้ว หากจะเที่ยวชมโบราณสถานที่สำคัญของอียิปต์ การเดินทางที่ดีและสะดวกสบายที่สุดก็คือ การเดินทางโดยเรือสำราญที่ล่องไปตามแม่น้ำไนล์
เพราะแม่น้ำไนล์ เป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญที่สุดของผู้คนที่อาศัยอยู่ในอียิปต์ตั้งแต่ยุคโบราณกาลเมื่อกว่า 6000 ปีที่แล้ว สิ่งก่อสร้างต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิหาร เมือง และ สุสานของฟาโรห์ จึงเกิดขึ้นตามสองฟากฝั่งแม่น้ำไนล์ไปตลอดความยาว
เป็นเรื่องน่าแปลก และ ท้าทายความคิดของคนในยุคนี้อย่างยิ่งว่า วิหารขนาดใหญ่โต สุสานที่ลึกลับ มัมมี่ และโลงศพที่สร้างอย่างวิจิตรพิสดารนั้น สร้างขึ้นจากความเชื่อที่เข้มแข็งของชาวอียิปต์โบราณในเรื่อง ชีวิตหลังความตาย
ทำไม ชาวอียิปต์โบราณจึงหมกมุ่นในเรื่องความตาย และ ชีวิตหลังความตายเหลือเกิน
ถ้าหากศึกษาจากภาพสลักบนฝาผนังในสุสานของฟาโรห์ ไม่ว่าจะเป็น คัมภีร์คนตาย หรือ BOOK OF DEAD หรือ ภาพเขียนในสุสานของชนชั้นสูงยุคนั้นจะรู้ได้ทันทีว่า ชาวอียิปต์โบราณมีความเชื่อในเรื่องบาปบุญคุณโทษพอสมควร
และเชื่อในเรื่องนรก และ สวรรค์ ด้วย แต่อาจจะในรูปแบบที่ไม่เหมือน นรกสวรรค์ ตามความเชื่อของผู้คนในยุคนี้
ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่า ฟาโรห์(PHARAOH)) ซึ่งก็คือชื่อที่ชาวอียิปต์โบราณใช้เรียกกษัตริย์ของพวกเขา ได้รับบัญชาจากพระเจ้าสูงสุดของเขา คือ เทพเจ้า “รา” (RA) หรือ สุริยะเทพ หรือ เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ให้ลงมาปกครองโลกในนามของพระองค์
แนวความเชื่อเรื่อง กษัตริย์เป็นอวตานของเทพเจ้าลงมาจุติในโลกมนุษย์เพื่อทำหน้าที่ปกครอง มนุษย์โลก พบเห็นอยู่ทั่วไปทั้งในอียิปต์โบราณ , ศาสนาฮินดูของอินเดียโบราณ ความเชื่อของชาวจีนโบราณ จนแม้กระทั่ง ความเชื่อของชาวญี่ปุ่นโบราณและในปัจจุบัน
เมื่อปกครองโลกมนุษย์จนหมดอายุขัยของการเป็นมนุษย์ วิญญาณของฟาโรห์ ก็จะต้องเดินทางกลับไปหาเทพเจ้าอีกครั้ง
การเดินทางของดวงวิญญาณของฟาโรห์ไปสู่ โลกของเทพเจ้า ซึ่งนักอียิปต์ศึกษา เรียกว่า “โลกใต้พิภพ” หรือ “ UNDERWORLD” นั้น ฟาโรห์จะใช้เรือเป็นพาหนะในการเดินทาง
สาเหตุที่ใช้เรือในการเดินทาง ก็เพราะการเดินทางในชีวิตประจำวันของชาวอียิปต์โบราณส่วนใหญ่ จะใช้เรือที่ทำจากไม้กระดาน หรือไม่ก็เรือที่ทำจากต้นกก หรือ ต้นปาปิรุส ที่พบได้ทั่วไปในอียิปต์
ด้วยเหตุนี้ เมื่อทำพิธีฝังพระศพของฟาโรห์ในสุสานต่างๆ ก็มักจะต้องเอาเรือฝังลงไปในหลุมฝังศพของฟาโหห์ด้วย เพื่อว่า เมื่อไปถึงโลกหน้า หรือ โลกใต้พิภพ ฟาโรห์ก็จะได้อาศัยเรือลำนี้เป็นพาหนะในการเดินทางไปพบกับเทพเจ้า
เรือลำนี้เรียกว่า สุริยะยาน หรือ SOLAR BOAT
เมื่อฟาโรห์เดินทางไปสู่ปรโลกแล้ว ก็จะต้องผ่านด่านต่างๆที่มีเทพเจ้าแต่ละองค์เป็นผู้รักษา การจะผ่านด่านเหล่านี้ ฟาโรห์จะต้องท่องมนตราต่างๆ หรือตอบคำถามที่เทพเจ้าเหล่านี้ถามให้ได้เสียก่อน
หากผ่านได้ทุกด่าน สุดท้าย ก็จะไปพบกับ เทพอนูบิส(ANUBIS) หรือ เทพเจ้าหัวหมาป่า หรือ เทพเจ้าแห่งการทำมัมมี่ เทพอนูบิส ก็จะเอาหัวใจของฟาโรห์ออกมาชั่งเพื่อเปรียบเทียบกับขนนก
หากหัวใจของฟาโรห์ มีน้ำหนักมากกว่าขนนก ก็แสดงว่า ฟาโรห์ เป็นคนบาปหยาบช้า ไม่สมควรที่จะผ่านไปพบเทพโอไซริส(OSIRIS) ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่ปกครองโลกใต้พิภพ หรือ โลกของคนตาย
เทพอนูบิส ก็จะเคี้ยวหัวใจของฟาโรห์กินซะ ทำให้ฟาโรห์ไม่มีโอกาสที่จะไปพบเทพเจ้า หรือ จะไปไหนได้อีกเลย กลายเป็น สัมพะเวสี หรือ วิญญาณเร่ร่อนต่อไป
แต่หากหัวใจของฟาโรห์เบากว่าขนนก ก็แสดงว่า ฟาโรห์ผู้นี้เป็นคนดี ตอนมีชีวิตอยู่ได้ทำความดีเอาไว้มากมาย สมควรที่จะเข้าไปพบกับเทพโอไซริส
เทพอนูบิส ก็จะเปิดทางให้แก่ฟาโรห์เพื่อเดินทางต่อไป
ไม่น่าเชื่อนะครับว่า ชาวอียิปต์เมื่อกว่า 4 – 5 พันปีที่แล้ว ตระหนักถึงบาปบุญคุณโทษ นรกสวรรค์แล้ว หรือแม้กระทั่งวิธีคิดว่าหัวใจจะต้องเบากว่าขนนก
แล้วทำไมชาวอียิปต์โบราณจะต้องสร้างมัมมี่ ตอนหน้าผมจะมาเล่าต่อนะครับ
สนใจทัวร์ ท่องอียิปต์แบบ เจาะลึก ติดต่อได้ที่เบอร์ 02 65 1 6900 ครับ