ซอกซอนตะลอนไป (24 ตุลาคม 2557)
ยุโรป กับ เอเชีย นาทีนี้เป็นของใคร(ตอนจบ)
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
สาเหตุที่ญี่ปุ่นสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจของตัวเองจากที่ค่อนข้างย่ำแย่ มาสู่สถานะเงยหัวขึ้นได้อย่างรวดเร็วนั้น เป็นเพราะพื้นฐานที่ดีของคนในชาติ
ในตอนที่แล้วผมได้พูดถึงสาเหตุไป 2 ประเด็นแล้ว เรามาว่ากันถึงประเด็นที่สามต่อครับ
ประเด็นที่สาม ความปลอดภัยต่อชีวิต และ ทรัพย์สินของประชาชน และของนักท่องเที่ยวมีสูงมาก เพราะรัฐบาล และ ประชาชนมีพื้นฐานเข้มแข็ง
อาจจะพูดได้ว่า ณ.วินาทีนี้ ประเทศที่มีความปลอดภัยในทรัพย์สินและชีวิตสูงที่สุดในโลกก็คือ ประเทศญี่ปุ่น ใครมีลูกหลานผู้หญิงจะไปเที่ยวญี่ปุ่นตามลำพัง ก็ขอให้สบายใจได้ว่า หากไปถึงญี่ปุ่นแล้ว ลูกหลานของท่านจะปลอดภัย
ปลอดภัยกว่าอยู่ในกรุงเทพด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ ยังสะดวกสบายมาก เพราะคนญี่ปุ่นมีจิตสาธารณะสูง ให้ความเอื้ออาทรต่อนักท่องเที่ยวอย่างมาก ประเภทที่จูงมือนักท่องเที่ยวเดินพาไปส่งจนถึงที่เป็นเรื่องปกติมาก
ผิดกันกับในยุโรป ที่อย่าว่าแต่ไม่จูงมือไปส่งเลย แค่จะบอกทางยังไม่ค่อยจะบอกเลย
ที่เป็นความทรงจำที่เลวร้ายก็คือ ตำรวจของยุโรปส่วนใหญ่ โดยเฉพาะของอิตาลี มักจะบอกปัดเมื่อมีนักท่องเที่ยวไปถามทาง แล้วยังพูดจาให้ขุ่นใจอีกว่า
“ผมไม่ใช่ตำรวจท่องเที่ยว”
ผิดกันกับตำรวจของญี่ปุ่น ที่คราวหนึ่งผมกำลังหาทางไปตลาดปลาในโอซากา เดินมาจนถึงทางแยกไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหน จึงเข้าไปในป้อมตำรวจเพื่อถามทางไปตลาดปลา และ ร้านซูชิชื่อดังที่ชื่อ ENDO
เข้าใจว่า คงจะมีนักท่องเที่ยวเข้าไปถามหาตลาดปลา และ ร้านซูชิร้านนี้บ่อยๆ ตำรวจท่านนี้ก็จึงพิมพ์แผนที่ทางเดินไปตลาดปลา และ ร้านซูชิที่ว่า เพื่อมอบให้นักท่องเที่ยวที่มาถามทางด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของญี่ปุ่นก็คือ ไม่มีของหาย และ ไม่มีนักล้วงกระเป๋า
หากคุณลืมของเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม ไม่ต้องกลัวหาย เดินกลับไปที่เดิมจะเจอแน่นอน หรือไม่เขาก็เอาไปให้เจ้าหน้าที่ดูแลสถานที่นั้นๆเก็บไว้ให้
ร้านอาหารแทบทุกร้านจะต้องจัดตู้เอาไว้ตู้หนึ่งเพื่อเก็บของที่ลูกค้าลืมเอาไว้ในร้านโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นร่ม โทรศัพท์มือถือ กระเป๋า เจ้าของร้านจะถามก่อนว่า ของที่ลืมเป็นอะไร ลืมเอาไว้วันไหน มาทานอาหารมื้ออะไร เพราะเขาจะจดรายละเอียดติดเอาไว้กับของที่ลืมเอาไว้ด้วย
แต่สำหรับในยุโรป ทุกประเทศไม่เว้นแม้แต่สวิตเซอร์แลนด์ หากลืมของเอาไว้ก็ยากที่จะได้คืน
ลำพังตอนนั่งพักในล็อบบี้ หรือ ทานอาหารเช้าในโรงแรมที่ไม่ว่าจะเป็น 5 ดาว หรือ ดาวเดียว หรือ ยืนคุยกันหน้าโรงแรม แค่เผลอนิดเดียวก็ถูกพวกมิจฉาชีพเข้ามาฉกซึ่งหน้ากันอยู่แล้ว
และอย่าไปหวังว่า ตำรวจเขาจะติดตามให้นะครับ ทำใจได้เลย
เรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นเลย
ประเด็นที่สี่ ราคาค่าอาหารเป็นธรรมต่อผู้บริโภคมาก แทบจะไม่เปลี่ยนจากเมื่อ10-20 ปีที่แล้วเลย เพราะรัฐบาลจัดการได้ดี
เมื่อเปรียบเทียบอัตราค่าครองชีพ เงินเดือนของคนงาน ค่าเช่าร้าน ค่าภาษี และอื่นๆแล้ว ราคาอาหารในประเทศไทยถือว่าแพงเกินเหตุไปแล้ว
เรื่องนี้น่าจะมีหน่วยงานของรัฐเข้ามาดูแลได้แล้ว ประเภทส้มตำริมชายหาดจานละ 350 บาท หรือ ร้านอาหารในสถานที่ท่องเที่ยวที่โก่งราคาจนเกินเหตุ ไม่น่าจะมีแล้ว
ประเด็นที่ห้า ความรู้สึกที่ใส่ใจต่อนักท่องเที่ยวแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา
ญี่ปุ่นผ่อนผันไม่ต้องขอวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวหลายประเทศไปแล้วเมื่อกลางปีที่แล้ว ล่าสุดตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมเป็นต้นมา ก็เพิ่มจำนนวนสินค้าที่จะคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่นักท่องเที่ยวอีก ทั้งนี้เพื่อดึงเงินตราต่างประเทศเข้าญี่ปุ่น
แต่เรื่องแบบนี้ ประเทศยุโรปคิดไม่เป็น และไม่เคยคิดด้วย
ยกตัวอย่าง ในขณะที่ยุโรปส่วนใหญ่มีฐานะทางการเงินค่อนข้างจะอ่อนแอมาก คนตกงานมากสุดเป็นประวัติการณ์ และ ประเทศต้องการเงินตราต่างประเทศเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่เคยเห็นรัฐบาลเหล่านี้คิดทำอะไรที่จะให้ความสะดวกเพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวเลย
ญี่ปุ่นตอนที่เศรษฐกิจแย่ๆเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ก่อนที่เขาจะยกเว้นวีซ่าให้แก่คนไทยเมื่อเห็นว่ามีการบื่นของวีซ่าของคนไทยกันทะลักทลายนั้น เจ้าหน้าที่สถานทูตจึงเปิดรับยืนวีซ่าเป็นคิวสุดท้ายตอน 3 ทุ่ม ทั้งๆที่ปกติเขาให้ยื่นวีซ่าได้แค่ถึงเที่ยวเท่านั้น
และเจ้าหน้าที่ก็ต้องทำการพิจารณาวีซ่าจนกระทั่งถึงเช้ากันแทบทุกวัน
ผิดกับสถานทูตหลายชาติในยุโรป ยกตัวอย่าง สเปน ทุกวันนี้ยังงมโข่งอยู่เลยว่า การขอวีซ่าจะต้องใช้เวลา 15 วันทำการ ไม่นับรวมวันเสาร์-อาทิตย์ ทั้งๆที่สถานทูตยุโรปของประเทศอื่นเช่น เยอรมัน ใช้เวลาเพียง 3- 4 วันเท่านั้น
แล้วนักท่องเที่ยวที่ไหนจะอยากไปเที่ยวสเปน หรือ อยากจะไปยื่นวีซ่าของสเปน
ในสเปนจึงมีประกาศติดหน้าร้านลดราคาสินค้ากันหั่นแหลก 50 เปอร์เซ็นต์แบบนี้ แต่เขาคงลืมคิดไปว่า แล้วจะหาใครไปซื้อของ หากไม่ใช่นักท่องเที่ยวต่างชาติ
สเปนถึงล่มสลายทางการเงินไงครับ