ซอกซอนตะลอนไป (23 สิงหาคม 2556)
ภูฐาน – วัดรังเสือสอนธรรมะ
โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
ถ้าไปภูฐาน แล้วไม่ไปวัดรังเสือ ก็ไม่อาจพูดได้ว่าไปภูฐานมาแล้ว
ถึงแม้ว่า ภูฐานในวันนี้จะแตกต่างจากภูฐานเมื่อ 20 ปีที่แล้วไปมากก็ตาม แต่ผมก็ยังประทับใจภูฐานทุกครั้งที่ได้ไปเยือน
ปฎิเสธไม่ได้ว่า ความเจริญทางด้านวัตถุที่เริ่มจะไหลเข้าไปสู่ประเทศที่วัดความเจริญด้วย “ความสุขมวลรวมในประเทศ” แทนที่จะวัดด้วย “ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ” ก็ทำให้โฉมหน้าของภูฐานเปลี่ยนไปบ้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมืองทิมพู ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ ที่มีรถราป้ายแดงวิ่งกันเต็มเมืองจนไม่มีที่จอด
ตอนแรกตกใจนึกว่า ภูฐาน ใช้นโยบายรถยนต์คันแรกแบบเดียวกับประเทศไทยด้วยหรือ แต่อันที่จริงก็คือ รถยนต์ของเอกชนในประเทศภูฐานใช้ป้ายแดงกันครับ
แต่กระนั้น วิถีชีวิตของชาวภูฐานก็ยังไม่เปลี่ยนไปมากนัก ยังคงอยู่กับธรรมชาติ และ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรพื้นฐานที่มุ่งหน้าไปสู่การไม่ใช้สารเคมี เพราะประเทศภูฐานมีนโยบาย ผลิตผลทางการเกษตรที่ปลอดสารเคมีร้อยเปอร์เซนต์ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า
เราจึงทานผักและผลไม้ของภูฐานได้อย่างสบายใจ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวสีแดงของเมืองพาโร แอปเปิลที่กำลังสุก เป็นต้น
แต่ไฮไลต์ของการไปภูฐานก็คือ การขึ้นไปนมัสการวัดทักซัง หรือ วัดรังเสือที่เมืองพาโร นั่นเอง
เนื่องจากวัดรังเสือตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลที่ 3150 เมตร หักลบจากความสูงของเมืองพาโรที่ 2200 เมตรจากระดับน้ำทะเล ก็หมายความว่า เราจะต้องขึ้นเขาไปอีกประมาณ 900 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ช่วงแรกของเราจึงต้องขี่ข้าขึ้นไป เพื่อประหยัดแรงในการเดิน โดยเฉพาะการเดินลงจากเขา
ตลอดทางของการเยาะย่างของม้าขึ้นไปบนเขา เป็นเส้นทางที่ร่มรื่น ชื่นใจยิ่งนัก เพราะป่าสองข้างทางช่างอุดมสมบูรณ์อย่างที่ไม่อาจหาได้ในป่าของประเทศไทย
เราจะเห็นเฟิร์น มอส และ ไลเค่น เกาะอยู่ตามต้นไม้ และก้อนหิน ค่อยๆหนาตัวขึ้นเรื่อยๆตามระดับความสูง บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติของป่า จนเราต้องรีบสูดอากาศที่บริสุทธิ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ม้านำเรามาจนถึงหน้าผาของภูเขา ซึ่งเป็นจุดที่สามารถชมวิวของวัดรังเสือในมุมที่สวยที่สุดได้ ทุกคนหายเหนื่อยเมื่อได้เห็นภาพวัดรังเสือเบื้องหน้า เพื่อเตรียมเหนื่อยในการเดินลงและขึ้นบันไดไปยังวัดรังเสือที่อยู่บนเขาอีกลูกเบื้องหน้า
เริ่มต้นเราต้องเดินลงบันไดที่สูงกว่าตึก 8 ชั้นลงไปก่อน แล้วเดินเฉียดน้ำตกขนาดใหญ่ที่กระจายฝอยน้ำไปทั่วบริเวณ จนต้องยืนหลับตาให้ละอองน้ำฟุ้งเข้ามาที่ใบหน้าด้วยความชื่นใจ
หายเหนื่อยไปได้หน่อยหนึ่ง แต่จากนี้ ต้องเดินขึ้นบันไดไปที่วัด ซึ่งหมายความว่า เราจะต้องเดินขึ้นบันไดในระดับความสูงของตึก 8 ชั้น เหมือนที่เราเดินลงมา
วัดรังเสือ เป็นวัดที่เชื่อกันว่า กูรูรินโปเช ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวภูฐาน เสมือนพระพุทธเจ้าองค์ที่ 2 ของเขา ได้ขี่เสือมาจากทิเบต มาลงที่ยอดเขาแห่งนี้ และได้ใช้สถานที่แห่งนี้ปฎิบัติธรรม
นั่นคือในศตวรรษที่ 7 หรือประมาณ 1400 ปีที่แล้ว
ศาสนาพุทธของชาวภูฐานนั้น เป็นศาสนาพุทธแบบมหายาน ผสมลัทธิบอน ซึ่งเป็นลัทธิที่นับถือภูตผีปีศาจของคนยุคโบราณ ผสมกับ นิกายลามะ ของทิเบต
ดังนั้น จึงแตกต่างจากพุทธแบบหินยานของไทยมาก และ ห่างจากนิกายลามะ ของทิเบตพอสมควร แม้ว่า จะใช้ตัวหนังสือของชาวทิเบตในการจารึกคัมภีร์ทางศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า
โอม เม ณี ปา เม หุง
บนวัดมีหินแกรนิตก้อนหนึ่ง มีรูอยู่บนก้อนหินให้นักท่องเที่ยวได้ทดสอบเล่นสนุกกัน แต่ก็แฝงธรรมะเอาไว้ด้วย
ไกด์ท้องถิ่นบอกว่า ใครก็ตามที่ปิดตายืนนิ้วโป้งออกไปข้างหน้า แล้วเดินจากจุดที่เขากำหนดซึ่งห่างจากรูบนก้อนหินประมาณเมตรครึ่ง แล้วสามารถเอานิ้วโป้งจิ้มเข้าไปในรูได้พอดี คนๆนั้นจะสามารถทดแทนบุญคุณพ่อแม่ได้หมดในชาตินี้
ปรากฏว่า นักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างก็พากันมาลองดู ดูเหมือนไม่น่าจะยาก แต่ไม่มีใครสามารถทำได้สำเร็จ
เป็นปรัชญาธรรมอีกข้อหนึ่งที่เตือนสติเราว่า
บุญคุณของพ่อแม่นั้น ไม่มีทางที่เราจะทดแทนบุญคุณท่านได้หมด ไม่ว่าจะอีกกี่ภพกี่ชาติก็ตาม
บทความนี้มาล่าจาก “วันแม่” สักหน่อย แต่คิดว่า คงไม่ล้าสมัยนะครับ